เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2562 เว็บไซต์เดลี่เมล รายงานว่า ลีโอนอร์ นิวซา หญิงชาวฟิลิปปินส์ วัย 43 ปี ผู้เป็นคุณแม่ลูกสามต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก หลังจากประสบอุบัติเหตุขณะทำงานถูกไฟไหม้หลายแห่งโดยเฉพาะบริเวณปากคางและหน้าอกจนผิวหนังละลายติดกัน ด้วยความที่ครอบครัวมีฐานะยากจนมากเธอจึงไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ต้องทนทุกข์กับแผลไหม้มานานหลายปี แต่ล่าสุดโอกาสในการที่จะได้มีชีวิตใหม่อาจจะมาถึงในไม่ช้า
ย้อนกลับไปในปี 2547 หรือเมื่อ15 ปีที่แล้ว ลีโอนอร์ทำงานอยู่ฟาร์มแห่งหนึ่ง ในเมืองซัมบวงกา เขตตังไวนางซัมบวงกา บนเกาะมินดาเนา ทางตอนใต้ของประเทศฟิลิปปินส์ ในวันหนึ่งเธอเข้าไปตรวจดูห้องเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงของฟาร์ม ด้วยความที่ไม่มีไฟฉายไม่มีไฟฟ้าแสงสว่างเดียวที่มีให้ใช้ได้ คือเทียนเธอจึงต้องจุดเทียนดูทาง
เมื่อละอองน้ำมันพบเจอกับเปลวไฟจากเทียนถังน้ำมันก็ระเบิดลุกเป็นไฟลีโอนอร์รอดชีวิตมาได้แต่เธอก็ได้รับบาดเจ็บหนักมาก
ลีโอนอร์ไม่ได้ไปหาหมอในตอนนั้น เพราะสู้ค่ารักษาพยาบาลไม่ไหว จึงได้รักษาเองไปตามมีตามเกิด ซึ่งเมื่อแผลหายผิวหนังบริเวณปากคางและหน้าอกก็ติดกันเป็นพังผืดส่งผลให้คอของลีโอนอร์ผิดรูปไปด้วย เพราะเธอไม่สามารถเงยหน้าขึ้นได้เนื้อดึงรั้งให้เธอต้องเอียงคอก้มลงอยู่ตลอดเวลา
นอกจากนี้ แล้วผลจากการบาดเจ็บทำให้เธอใช้งานอวัยวะส่วนอื่นๆ ได้ไม่เหมือนเดิมเธอจึงทำงานไม่ได้มากทำนานๆก็ไม่ได้จึงไม่มีงานทำไม่มีเงินใช้ปัจจุบันเธออยู่กับลูกชาย 1 คน ส่วนลูกอีก 2 คนไปอยู่กับอดีตสามี ทุกวันนี้สองแม่ลูกกลายเป็นขอทานได้แต่เดินเร่ขอเงินไปเรื่อยๆ
ทว่าในวันหนึ่งจัสตินกีบันและเพื่อนฝูงพบเห็นลีโอนอร์เดินเตร็ดเตร่ขอทานอยู่ในละแวกบ้านเขา เขารู้สึกสงสารมากจึงเข้าไปถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ จนกระทั่งได้รับรู้ชีวิตน่าเศร้าของเธอเขาจึงตัดสินใจช่วยเหลือบริจาคอาหารและน้ำดื่มให้เธอกับลูกรวมทั้งข้าวของที่จำเป็น
อย่างไรก็ตามพวกเขาเล็งเห็นว่า วิธีทีดีที่สุดคือการให้เธอได้รับการผ่าตัดเพราะเธอจะได้หางานทำสามารถดูแลหาเลี้ยงตัวเองกับลูกต่อไปได้ในระยะยาว
จัสตินจึงได้โพสต์แชร์เรื่องราวของเธอลงบนสังคมออนไลน์ด้วยความหวังว่า จะมีผู้ใช้บุญร่วมบริจาคช่วยเหลือค่าผ่าตัดแก้ไขผิวหนังบริเวณปากและหน้าอกให้หลุดออกจากกันเพื่อที่เธอจะได้กลับมาทำงานได้อีกครั้งซึ่งลีโอนอร์ก็กล่าวในคลิปทั้งน้ำตาว่าเธอไม่อยากให้ลูกต้องเติบโตขึ้นมาเห็นแม่อยู่ในสภาพนี้ตลอดไปและขอโอกาสมีชีวิตใหม่อีกครั้ง
ภาพและข้อมูลจาก Kapook, Justin Quiban , เว็บไซต์เดลี่เมล