เมียร่วมมือกิ๊กฆ่าผัว ก่อนจัดฉากเป็นอุบัติเหตุ แต่ไม่สำเร็จ เพราะผลการชันสูตร ตรงข้ามกับสภาพแวดล้อม
วันที่ 15 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีหนุ่มขับรถยนต์กระบะตกข้างทางเสียชีวิตที่ถนนบายพาสชะอำ จ.เพชรบุรี เมื่อ 05.45 น.ของวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา หลังญาติออกมาโวยว่า สภาพรถยนต์ไม่ได้ชนกับต้นไม้ แต่มีบาดแผลที่ใบหน้าหลายจุดเลือดท่วมหน้า ขณะที่มีรอยเลือดข้างประตูคนขับด้านล่างเป็นรอยเลือดเป็นทางเหมือนลากศพขึ้นไปจัดฉากบนรถ
ขณะที่น้องสาวผู้ตายเผยแพทย์ผู้ผ่าพิสูจน์ศพยืนยันว่า ผู้ตายไม่ได้เสียชีวิตบนรถยนต์คันเกิดเหตุแต่มีบาดแผลฉกรรจ์โดยศีรษะได้รับบาดเจ็บรุนแรง สมองฟกช้ำ และเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง
ต่อมา สายวันที่ 14 ก.ค.63 นางสาวเยาวภา โพธิ์ภักดี หรือปู น้องสาวนายพิธยุทธ โพธิ์ภักดี อายุ 42 ปี ที่พบว่าเสียชีวิตอยู่ภายในรถยนต์กระบะ ยี่ห้ออีซูซุ สีขาวตอนครึ่ง ทะเบียน บพ-8390 เพชรบุรี ริมทางบนถนนบายพาส บริเวณ 4 แยก หน้าศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์เพชรบุรี ขาล่องใต้ ลักษณะคล้ายตกลงไปข้างทางห่างจากต้นไม้ใหญ่ประมาณเกือบ 1 เมตร ซึ่งเบื้องต้นตำรวจคาดว่าเกิดจากอุบัติเหตุ แต่ญาติไม่เชื่อว่า อุบัติเหตุจะทำให้ผู้ตายเสียชีวิต เพราะสภาพรถยนต์กระบะคันดังกล่าวไม่มีร่องรอยการชน และมีคราบเลือดเป็นทางนอกรถเหมือนอุ้มร่างขึ้นมาวางไว้บนรถ อีกทั้งสภาพรถก็จอดเข้าเกียร์หนึ่ง พงส.จึงให้ส่งศพผ่าพิสูจน์ที่รพ.พระจอมเกล้า แต่เนื่องจากทางรพ.พระจอมเกล้ามีคิวผ่าศพจำนวนมาก จึงเลื่อนมาผ่าพิสูจน์ในเช้าวันที่ 14 ก.ค.
นางสาวเยาวภา เผยว่าแพทย์ชันสูตรให้เหตุผลว่า ถ้าผู้ตายเสียชีวิตภายในรถจากอุบัติเหตุจริงจากสภาพบาดแผลที่ใบหน้าผู้ตายและที่บริเวณคาง ข้าวของในรถจะต้องกระจัดกระจายและต้องมีเลือดกระเซ็นติดที่หน้ารถ และกระจัดกระจาย แต่สภาพศพกลับนอนคว่ำหน้าลำตัวพาดไปยังที่นั่งข้างคนขับ และมีเลือดออกกองที่พื้นวางเท้าจำนวนมาก ซึ่งหมอบอกว่ามีบาดแผลที่ใต้ดวงตาและคางฉกรรจ์ แต่ไม่พบร่องรอยเลือดกระเซ็นภายในรถจึงไม่น่าจะเสียชีวิตภายในรถอย่างแน่นอน
นายกฤษเพชร ศิริลักษณ์ อายุ 33 ปี ลูกพี่ลูกน้องของภรรยาผู้ตาย ซึ่งสนิทกับผู้ตายเผยว่า ตนเองเป็นญาติฝ่ายหญิง แต่รู้พฤติกรรมฝ่ายหญิง และทราบจากผู้ตายว่า สงสัยว่าฝ่ายหญิงจะไปคบชายอื่น จึงเฝ้าตามจับผิดมาเกือบสองปีแล้ว กระทั่งคืนก่อนเสียชีวิตก็ตามไปพบว่าฝ่ายหญิงแอบไปกินข้าวกับชายอื่นจึงเกิดทะเลาะกัน
“ผู้ชายที่เมียผู้ตายคบหาอยู่ด้วย เป็นเซียนไก่ชนในเขตอำเภอหัวหินและใกล้เคียง รู้จักคนมาก และมีพวกเยอะ ทีแรกก็ไม่แปลกใจเมื่อรับแจ้งว่าผู้ตายเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต แต่เมื่อมาเห็นสภาพรถยนต์ที่เกิดเหตุกลับไม่มีร่องรอยเฉี่ยวชน แต่มีรอยเลือดเป็นทางนอกตัวรถและที่มือจับประตูด้านตรงข้ามคนขับ ขณะที่ลักษณะของศพที่นอนเสียชีวิตภายในรถ จึงมั่นใจอย่างแน่นอนว่า ไม่ได้ตายจากการเกิดอุบัติเหตุ และก่อนเกิดเหตุผู้ตายก็เพิ่งมีเรื่องทะเลาะกับเมียเพราะจับได้ว่าไปคบชายอื่น ตอนที่ไปพบก็เจอนั่งกินข้าวกับเพื่อนชายหลายคน แต่ยังงงว่าทำไมตำรวจจึงชี้ประเด็นไปที่อุบัติเหตุและอนุญาตให้ญาตินำรถยนต์กลับไปล้างได้ กระทั่งเมื่อเช้าจึงเรียกเมียและพ่อตาแม่ยายมาสอบเพิ่มกระทั่งทราบผลผ่าพิสูจน์ว่า ไม่ได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถชน”
ล่าสุด เวลา 21.30 น. วันที่ 14 ก.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากญาติของภรรยาผู้ตายว่า เมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา นางสุมาริน ยอดทอง เมียผู้ตายได้มาปรึกษาและรับสารภาพว่าเหตุที่สามีเสียชีวิต โดยเป็นคนลงมือเอง เพราะสามีใช้มีดจะเข้ามาแทง จนทำให้แฟนใหม่วิ่งเข้ามาช่วย ผลักสามีล้มลงและตนเองเป็นคนตีเข้าที่ใบหน้าสามีจนเสียชีวิต อยากให้พาไปมอบตัวกับตำรวจ แต่เนื่องจากญาติคนดังกล่าวเห็นว่ามืดแล้ว และเกรงกลัวผู้ต้องสงสัยที่ร่วมกันฆ่า จึงดึงเวลาและประสานงานให้ผู้สื่อข่าวพาตำรวจเข้าไปรับตัว ซึ่งต่อมาพบว่านางสุมาริน ได้ไปรับสารภาพกับพ่อแม่ตัวเองในเรื่องที่เกิดขึ้นขอให้พ่อแม่พามามอบตัวต่อ พงส.ที่สภ.ชะอำ
เมื่อผู้สื่อข่าวไปที่ สภ.ชะอำ พบแม่ของนางสุมารินนั่งรออยู่ด้านล่างของสภ.ชะอำ จึงได้สอบถามนางอุไร ยอดทอง แม่ของนางสุมารินว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร นางอุไร เล่าว่า ลูกสาวได้เข้ามาสารภาพกับตนและสามี โดยเล่าว่า หลังจากพ่อและแม่กลับไปได้ทะเลาะกับสามีอย่างรุนแรง ซึ่งสามีใช้มีดพุ่งเข้ามาจะแทง ทำให้แฟนใหม่เข้ามาช่วยและผลักสามีล้มลง ช่วงนั้นนางสุมารินได้ตีสามีเข้าที่ใบหน้าและศีรษะจนฟุบนิ่งไป ซึ่งพ่อเองก็ไม่เชื่อว่าจะทำคนเดียวได้ ต้องมีผู้ร่วมลงมือมากกว่านี้ จากนั้นทั้งสามคนจึงได้พากันมามอบตัวที่สภ.ชะอำ และรอสอบปากคำอยู่ด้านบน
จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น พบว่าที่ห้องเช่าที่สองสามีภรรยาเช่าอยู่ มีกล้องวงจรปิดติดตั้งไว้ มีภาพที่บริเวณหน้าห้องเช่า พบผู้หญิง 1 คนและผู้ชาย 5 คน อยู่ด้านหน้า แต่ไม่เห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในห้อง จึงเชื่อว่า หลังจากพ่อและแม่ของฝ่ายหญิงกลับออกไปเมื่อประมาณตีหนึ่งครึ่ง ทั้งสองคนยังคงทะเลาะกันและคงเรียกแฟนใหม่มาเจรจา แต่เกิดการลงมือกันขึ้นจนทำให้เสียชีวิตจากนั้นจึงได้วางแผนร่วมกับเพื่อนๆ ที่มาด้วยนำศพออกไปจัดฉากว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่ถูกสื่อและน้องสาวผู้ตายออกมาแฉพิรุธ จนทำให้ฝ่ายหญิงสำนึกผิด แต่ยังไม่ยอมให้รายละเอียดมากนักว่ามีใครร่วมก่อเหตุและใครช่วยนำศพไปจัดฉากว่าเป็นอุบัติเหตุ จึงต้องรอการสอบสวนของพนักงานสอบสวนต่อไป