สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เดินหน้า“มาตรการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ครั้งที่ 9” ตามนโยบายของรัฐบาลให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการปราบปรามกลุ่มองค์กรอาชญากรรมที่กระทำ ความผิดและส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีพฤติการณ์ใช้โทรศัพท์หลอกลวงประชาชนโดย แสดงตนเป็นบุคคลอื่น หรือ กลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีพฤติการณ์ใช้โทรศัพท์หลอกลวงประชาชนและมีผู้หลงเชื่อจนเป็น เหตุให้เกิดการสูญเสียทรัพย์สินไปเป็นจำนวนมาก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้มีคำสั่งให้จัดตั้ง“ศูนย์ป้องกัน และปรามปรามการฉ้อโกงประชาชนผ่านระบบโทรศัพท์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” โดยมอบหมายให้ พล.ต.อ.ธนิตศักดิ์ ธีระสวัสดิ์ ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. เป็น ผอ.ศูนย์ฯ และให้ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ทท.ควบคุม กำกับชุดปฏิบัติการประจำศูนย์ฯ ได้ประสานความร่วมมือกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ร่วมปฏิบัติการ ทลายเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ
จากการปฏิบัติงานของสายด่วน1710 ของสำนักงานป้องกันและ ปราบปรามการฟอกเงิน และสายด่วน 1155 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ช่วยเหลือผู้เสียหายจากการถูกหลอกลวงของ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ สามารถอายัดเงินของผู้เสียหายที่ ถูกหลอกลวงและโอนไปยังบัญชีของกลุ่มคนร้ายแล้วระงับไม่ให้สามารถถอนเงินออกไป และได้นำเงินคืนให้กับผู้เสียหาย จำนวน 5 ราย รวมเป็นเงินจำนวน 861,664 บาท ได้แก่
1.ผู้เสียหายในคดีของ สภ.ถลาง จ.ภูเก็ต ถูกหลอกลวงให้โอนเงินไปยังบัญชีของคนร้ายรวมเป็นเงิน จำนวน 34,000 บาท ในคดีนี้ เจ้าหน้าที่สามารถอายัดเงินของผู้เสียหายรายนี้ไว้ได้ทั้งหมด
2. ผู้เสียหายในคดีของ สน.พหลโยธิน ถูกหลอกลวงให้โอนเงินไปยังบัญชีของคนร้ายรวมเป็นเงิน จำนวน 602,538.95 บาท ในคดีนี้ เจ้าหน้าที่สามารถอายัดเงินของผู้เสียหายไว้ได้ จำนวน 400,379 บาท
3.ผู้เสียหายในคดีของ สน.พหลโยธิน ถูกหลอกให้โอนเงินไปยังบัญชีของคนร้ายรวมเป็นเงิน จำนวน 219,500 บาท ในคดีนี้ เจ้าหน้าที่สามารถอายัดเงินของผู้เสียหายไว้ได้ จำนวน 61,425 บาท
4.ผู้เสียหายในคดีของ สภ.เมืองนนทบุรี ถูกหลอกลวงให้โอนเงินไปยังบัญชีของคนร้ายรวมเป็นเงิน จำนวน 315,860 บาท ในคดีนี้ เจ้าหน้าที่สามารถอายัดเงินของผู้เสียหายรายนี้ไว้ได้ทั้งหมด
5.ผู้เสียหายในคดีของ สภ.กะรน จ.ภูเก็ต ถูกหลอกลวงให้โอนเงินไปยังบัญชีของคนร้ายรวมเป็นเงิน จำนวน 50,000 บาท
โดยคดีนี้ เจ้าหน้าที่สามารถอายัดเงินของผู้เสียหายรายนี้ไว้ได้ทั้งหมดจากข้อมูลผู้เสียหายทั้ง 5 ราย เจ้าหน้าที่สามารถอายัดเงินของผู้เสียหายได้เต็มจำนวนทั้งหมด 3 รายจากการสอบถามผู้เสียหายที่สามารถทำการอายัดเงินได้ทัน ส่วนใหญ่จะใช้เวลาในการตั้งสติ คิดทบทวน และทราบว่าถูกคนร้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกลวง เฉลี่ยแล้วใช้เวลาดังนี้อายัดเต็มจำนวน ใช้เวลาประมาณ 15 – 30 นาทีอายัดได้บางส่วนมากกว่าครึ่งของจำนวนที่ถูกหลอก ใช้เวลาประมาณ 30 นาที – 1 ชั่วโมง อายัดได้บางส่วนน้อยกว่าครึ่งของจำนวนที่ถูกหลอก ใช้เวลาตั้งแต่ 1 ชั่วโมง ขึ้นไป
โดยใช้ช่องทางติดต่อการอายัดเงิน ผ่านช่องทางสายด่วน 1155, 1710 และ ทางธนาคาร สรุปจากการผลการปฏิบัติงานในการอายัดเงินของผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงจากแก็งคอลเซ็นเตอร์ หลอกลวงไปยังบัญชีคนร้าย สามารถอายัดเงินคืนให้แก่ผู้เสียหายได้ จำนวน 71 ราย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 13,384,728.73 บาทจากสถิติการรับแจ้งเหตุของศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฉ้อโกงประชาชนผ่านระบบโทรศัพท์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (ศป.ฉปทน.ตร.)รับแจ้งเหตุตั้งแต่วันที่ ๘ ธ.ค.๖๐ ถึงวันที่ 22 มี.ค.๖๑ จำนวน 408 คดี มูลค่าความเสียหาย 205,227,906 บาท ทั้งนี้เชื่อว่ายังมีผู้เสียหายที่ถูกเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มนี้หลอกลวงอีกเป็นจำนวนมาก แต่ยังไม่ได้ไปร้องทุกข์ จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนท่านใดที่ได้รับความเสียหายจากเครือข่ายแก๊ง คอลเซ็นเตอร์ หลอกลวงจนสูญเสียทรัพย์สิน ให้รีบแจ้งมาที่ ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฉ้อโกงประชาชนผ่านระบบโทรศัพท์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งอยู่ที่ ชั้น ๑ อาคาร ๑ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถนนพระรามที่ ๑ แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานครสายด่วน 1155 หมายเลขโทรศัพท์ 0 2251 9793 หมายเลขโทรสาร 0 22527881ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สายด่วน 1710ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 เลขที่ 422 ถนน พญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร “ในกรณีที่รู้ตัวว่าถูกหลอกลวง ขอให้แจ้งสายด่วน 1155 และ 1710 โดยเร็วที่สุด”