วันที่ 5 พ.ค. เอเอฟพีรายงานความคืบหน้าการจัดการเจรจาครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกาและ นายคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดแห่งเกาหลีเหนือ เพื่อผลักดันกระบวนการยุติโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ และสันติภาพเหนือคาบสมุทรเกาหลี โดยประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวกับสื่อมวลชนที่ทำเนียบขาวในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ว่า ได้ฤกษ์กำหนดเวลาและสถานที่จัดการหารือครั้งสำคัญแล้ว จะเปิดเผยในเร็ววันนี้ “ตอนนี้เรามีวันและสถานที่แล้ว เราจะประกาศให้เร็วที่สุด” ผู้นำคนดังกล่าว พร้อมระบุว่ายังไม่พิจารณาถึงการลดจำนวนเจ้าหน้าที่ทหารสหรัฐราว 32,000 นายที่ประจำการในเกาหลีใต้ตามที่นิวยอร์กไทมส์รายงาน แต่เชื่อมั่นว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่หลายอย่างจะเกิดขึ้น
สำหรับนโยบายลดขนาดกองทัพสหรัฐในเกาหลีใต้ยังไม่เป็นประเด็นบนโต๊ะเจรจา ถึงอย่างนั้นอาจมีการพูดคุยกันอีกครั้งในอนาคต ตนก็ต้องการประหยัดงบประมาณประเทศ ด้าน นายจอห์น โบลตัน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคง กล่าวว่ากระแสข่าวดังกล่าวเป็นเรื่องที่ไร้สาระที่สุด ขณะเดียวกัน โฆษกทำเนียบขาวแถลงว่า นายทรัมป์ จะเปิดทำเนียบต้อนรับประธานนาธิบดี มุน แจอิน แห่งเกาหลีใต้ ซึ่งจะเดินทางเยือนสหรัฐอย่างเป็นทางการในวันที่ 22 พ.ค.นี้ เป็นนัดพบปะทวิภาคีครั้งที่ 3 ระหว่างผู้นำสหรัฐและเกาหลีใต้ก็เพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้แนบแน่น
รวมถึงการเดินหน้าประสานงาน และพัฒนาผลประโยชน์ที่มีร่วมกันในคาบสมุทรเกาหลี หลังจากการหารือครั้งใหญ่ของ นายมุนกับนายคิม ที่หมู่บ้านปันมุนจอม เขตปลอดทหาร (ดีเอ็มซี) ติดชายแดน เกาหลีเหนือ–ใต้ เมื่อ 27 เม.ย. ประสบความสำเร็จด้วยดี วันเดียวกัน สำนักข่าวเคซีเอ็นเอระบุว่าเมื่อเวลา 23.30 น. ของวันที่ 4 พ.ค. ตามเวลาท้องถิ่นของเกาหลีทางการเกาหลีเหนือปรับเวลาของประเทศให้เร็วขึ้นอีก 30 นาที เพื่อใช้เขตเวลาหรือไทม์โซนเดียวกับเกาหลีใต้ ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวถือเป็นก้าวแรกของการลงมือปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อมุ่งหน้าสู่การรวมสองชาติเกาหลีในอนาคต ทั้งนี้ เกาหลีเหนือเริ่มใช้เขตเวลาที่ล่าช้ากว่าเขตเวลาเกาหลีใต้ และญี่ปุ่น 30 นาที เพื่อต่อต้านจักรวรรดิญี่ปุ่นซึ่งในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นำกำลังบุกยึด เข่นฆ่า และข่มเหงชาวเกาหลี