จากกรณีที่เพจขับรถแบบนี้ต้องประจาน ภูเก็ต ได้โพสต์คลิปวิดีโอเกิดเหตุรถแท็กซี่สาธารณะป้ายเขียวขับกีดขวางรถพยาบาลของโรงพยาบาลป่าตอง จนส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตภายในรถฉุกเฉิน โดยเหตุการณ์สลดดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าวันที่ 26 เม.ย. 68 ที่ผ่านมา บริเวณถนนกมลา-ป่าตอง ต.กมลา อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต ตามข้อมูลผู้เสียชีวิตเป็นชาย อายุ 77 ปี มีประวัติเป็นโรคหัวใจ ได้เกิดอาการหน้ามืดในสวนทุเรียน ชุมชนกมลา ญาติประสานโรงพยาบาลป่าตองให้ส่งทีมฉุกเฉินมารับตัวตั้งแต่เวลา 08.15 น.
เมื่อรถพยาบาลถึงที่เกิดเหตุแล้วรีบนำผู้ป่วยขึ้นรถ และขับมุ่งหน้าเข้าตัวเมืองภูเก็ต เพื่อส่งรักษาต่อ แต่ระหว่างทางปรากฏว่ามีรถแท็กซี่ป้ายเขียวคันหนึ่งฝ่าฝืนไม่หลีกทาง ขับอยู่ชิดซ้ายสุดและลดความเร็ว ทำให้รถฉุกเฉินไม่สามารถเร่งความเร็วเพื่อปั๊มหัวใจผู้ป่วยได้ทันท่วงที เบื้องต้นทีมแพทย์ฉุกเฉินพยายามปั๊มหัวใจแต่ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้ และยืนยันเสียชีวิตในเวลาประมาณ 08.45 น.
ขณะเดียวกันผู้เห็นเหตุการณ์ระบุว่า รถพยาบาลเปิดไซเรนเต็มที่ แต่รถแท็กซี่ไม่ยอมหลบ ทางคับแคบมาก ถ้าหลบให้รีบนิดเดียวก็อาจช่วยชีวิตได้ ด้านโรงพยาบาลป่าตองและตำรวจ สภ.กมลา ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบกล้องวงจรปิด พร้อมเรียกคนขับรถแท็กซี่มาสอบสวน เบื้องต้นตั้งข้อหาขับขี่กีดขวางรถฉุกเฉินและละเมิดสิทธิผู้ป่วย ก่อนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
เจ้าหน้าที่ตำรวจ เปิดเผยว่า กำลังตรวจสอบเส้นทางการสัญจรเพื่อปรับปรุงมาตรการบังคับใช้กฎหมาย พร้อมรณรงค์ให้ผู้ใช้ถนนหลีกทางรถพยาบาลฉุกเฉิน เพื่อป้องกันเหตุสูญเสียซ้ำซากในอนาคต
ด้าน น.ส.เมย์ (นามสมมุติ) ลูกสาวผู้เสียชีวิต บอกว่า เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 68 ช่วงเช้า พ่อได้ไปดูคนงานชาวเมียนมาไปเก็บผลสะตอที่อยู่ในสวนทุเรียนใกล้บ้าน ก่อนเกิดอาการหน้ามืดเป็นลม ญาติที่อยู่ด้วยกันจึงรีบแจ้งไปยัง 1669 เพื่อขอรถฉุกเฉินมารับตัว และได้รับการประสานงานจาก อบต.กมลา นำผู้ป่วยส่งต่อไปยังจุดรับเปลี่ยนรถที่ถนนกมลา-ป่าตอง เป็นรถฉุกเฉินของทางโรงพยาบาลป่าตองนำส่งต่ออีกที ตอนนั้นพ่อยังพอมีชีพจรตอนขึ้นรถของโรงพยาบาลป่าตอง แต่เมื่อรถโรงพยาบาลป่าตองมาถึงและเปิดไซเรน บนถนนกลับมีรถแท็กซี่ป้ายเขียวไม่หลบ ทางก็แคบ รถพยาบาลจึงต้องลดความเร็ว จากนั้นแท็กซี่หักเข้ามาชนข้างรถฉุกเฉิน ขณะที่ทีมกู้ชีพฉุกเฉินยังพยายามปั๊มหัวใจพ่ออยู่บนรถ ต่อมาอาการทรุดลงและเสียชีวิตภายในรถฉุกเฉินดังกล่าว
ลูกสาวผู้เสียชีวิต บอกอีกว่า ไม่มีใครจากฝั่งคนขับรถแท็กซี่ติดต่อขอโทษ หรือชี้แจงใด ๆ แม้แต่ครั้งเดียว ทำให้ญาติรู้สึกเสียใจและคาใจเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ทางครอบครัวไม่ได้ต้องการเอาผิดรุนแรง เพียงต้องการให้เหตุการณ์นี้เป็นอุทาหรณ์แก่ผู้ใช้ถนนทุกคน เพราะเพียงแค่หลบข้างทางเมื่อได้ยินไซเรน เหตุการณ์อาจไม่บานปลาย เหมือนไม่กี่วินาทีที่หลบนั้น อาจช่วยชีวิตของพ่อได้