เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

เมื่อเขมรอยากได้วัฒนธรรมไทย ก็เคลมกันไปแบบฉ่ำๆ ​เทศกาลใหญ่ประจำปีของประเทศกัมพูชาอย่าง “พระราชพิธีบุญอมทูก” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เทศกาลน้ำ” บริเวณแม่น้ำโขง หน้าพระราชวังจตุมุขสิริมงคล ในกรุงพนมเปญ ได้ถูกจับตามองอีกครั้งจากความพยายามที่จะสร้างภาพจำทางวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกับของไทย

ล่าสุดคือการผนวกกิจกรรม “ไหลเรือไฟ” เข้าไปในเทศกาลดังกล่าว โดยมีรายงานชัดเจนว่า การจัดแสดงเรือไฟขนาดใหญ่เพิ่งถูกริเริ่มขึ้นครั้งแรกในปี 2014 นี้เอง ซึ่งเป็นการ ลอกเลียนแบบ ประเพณี “ไหลเรือไฟ” อันเก่าแก่และยิ่งใหญ่ของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นมรดกที่สืบทอดมายาวนานในเทศกาลออกพรรษา
​ความจริงที่ต้องรู้: ไหลเรือไฟไทยคือต้นฉบับ


​ประเพณีไหลเรือไฟของไทย มีรากฐานความเชื่อที่มั่นคงและสืบทอดมาแต่โบราณ เป็นการบูชารอยพระพุทธบาท การสักการะท้าวพกาพรหม และการระลึกถึงพระคุณของพระแม่คงคา โดยมีการจัดงานที่ยิ่งใหญ่และเป็นเอกลักษณ์ของภูมิภาคนี้มายาวนานหลายสิบปี มีการประดิษฐ์เรือไฟในรูปแบบต่างๆ อย่างวิจิตรตระการตา เช่น รูปเรือสุพรรณหงส์ พญานาค หรือรูปพระธาตุ

แต่สำหรับกัมพูชา การนำ “เรือไฟ” มาลอยในเทศกาลน้ำที่เน้นการแข่งเรือยาวเป็นหลัก กลับกลายเป็นความพยายามที่จะ สร้างประเพณีใหม่ ในลักษณะของการ “นำไปใช้” โดยไม่มีรากฐานทางประวัติศาสตร์หรือคติความเชื่อที่ชัดเจนในรูปแบบเรือใหญ่ประดับไฟเช่นนี้มาก่อน
​พฤติกรรมเคลมที่สะท้อนปัญหาภายใน


​การกระทำในลักษณะที่พยายาม เคลมทุกอย่างของไทย ตั้งแต่ประเพณี, อาหาร, เครื่องแต่งกาย ไปจนถึงตราสัญลักษณ์ของชาติ โดยการเริ่มจัดกิจกรรมที่คล้ายคลึงกันในภายหลัง แล้วพยายามบิดเบือนประวัติศาสตร์ว่าเป็นของตนเองมาตั้งแต่ “สมัยกำแพงนคร” นั้น ได้สะท้อนปัญหาสำคัญ


​ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง: การกล่าวอ้างดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความไม่สามารถสร้างสรรค์หรือยกย่องวัฒนธรรมที่เป็นของตนเองได้อย่างภาคภูมิ
​สร้างความแตกแยก: แทนที่จะใช้พลังงานในการอนุรักษ์และส่งเสริมมรดกที่มีอยู่ กลับมุ่งเน้นการบิดเบือนเพื่อ “เทียบเคียง” หรือ “แย่งชิง” มรดกจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้งทางอารมณ์ในระดับประชาชน


​ก๊อปไม่ถึง: แม้จะพยายามลอกเลียนแบบ แต่ผลงานที่ออกมามักจะขาดความละเอียดอ่อนและยิ่งใหญ่เทียบเท่าต้นฉบับ


​พฤติกรรมนี้ยิ่งตอกย้ำมุมมองที่ว่า ชนชาติที่พยายามเคลมวัฒนธรรมของผู้อื่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า อาจเป็นเพราะประเทศนั้น ๆ “ไม่เหลือคนฉลาดให้คิดสร้างสรรค์ได้เอง” ตามที่ชาวเน็ตได้ตั้งข้อสังเกตไว้ และตอกย้ำความรู้สึกที่ว่า “สมเป็นทาส” ของการตามรอยวัฒนธรรมเพื่อนบ้านจริงๆ