เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

หนึ่งในผู้ที่เกาะติดการเลือกตั้ง ต้องยกให้ “นักธุรกิจ” เพราะการเมือง นโยบายทางการเมืองล้วนมีผลต่อการผลักดันเศรษฐกิจ ธุรกิจ สร้างความเชื่อมั่นด้านการลงทุน ค้าขาย กำลังซื้อ ฯลฯ

บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา” ประธานเครือสหพัฒน์ วัย 82 ปี ในฐานะยักษ์ใหญ่สินค้าอุปโภคบริโภคของไทย ที่ทำรายได้เฉียด 3 แสนล้านบาทต่อปี

“บุณยสิทธิ์” ขับเคลื่อนธุรกิจมากว่า 60 ปี ผ่านการเมืองมาหลายยุคหลายสมัย เผชิญเหตุการณ์ปฏิวัติ รัฐประหาร การบริหารประเทศภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงประเทศภายใต้ “นายกรัฐมนตรี” มาถึง 18 คน ตั้งแต่สมัย “จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์” นายกฯคนที่ 11 จนถึง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกฯคนที่ 29

“เป็นห่วงบ้านเมืองเหลือเกิน เพราะเวลานี้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทุกวัน” บทสนทนาแรกของบุณยสิทธิ์

ทว่าความกังวลมีมากกว่านั้น หาก “นายกฯลุงตู่” (ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ไม่ได้คะแนนเสียงเกิน 100 หรือมากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาล และดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกสมัย เพราะนั่นหมายถึง ความมีเสถียรภาพทางการเมือง ความต่อเนื่องด้านนโยบายเศรษฐกิจ การลงทุนของประเทศอาจต้อง “แตะเบรก” จนฉุดประเทศให้ล้าหลังไปอีก 10 ปี เพราะหากพรรคการเมือง “ต่างขั้ว” ได้ขึ้นมาบริหารประเทศ อาจเห็นการรื้อรัฐธรรมนูญ ไม่สานต่อนโยบายเศรษฐกิจต่างๆ ทำให้การลงทุนชะงักได้ แน่นอนย่อมกระทบต่อภาคธุรกิจอย่างยากหลีกเลี่ยง

“หากลุงตู่ ได้เป็นนายกต่อ เป็นโอกาสของเมืองไทยที่จะเดินหน้านโยบายต่างๆ ถ้าต้องเริ่มใหม่ ไทยอาจล้าหลังเป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะประเทศจะเสียโอกาสในการพัฒนา เพราะวันนี้ไทยยังต้องแข่งขันกับอินโดนีเซีย เวียดนาม เพื่อดึงต่างชาติเข้ามาลงทุน”