เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

เว็บไซต์เดลี่เมล เผยรายงานจากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ลงใน PNAS วารสารทางวิทยาศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา เมื่อนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ได้ศึกษาประวัติทางพันธุกรรมของการติดเชื้อโคโรนาไวรัส สายพันธุ์ใหม่ (SARS-CoV-2) ที่ก่อให้เกิดโรคโควิด 19 ซึ่งเริ่มแพร่ระบาดจากในประเทศจีน ก่อนจะลุกลามขยายวงกว้างไปทั่วโลก ตั้งแต่เดือนธันวาคม ถึงเดือนมีนาคม พบว่า มีความแตกต่างกันอยู่ 3 สายพันธุ์ แต่ทุกสายพันธุ์มีความเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด

แบ่งเป็นสายพันธุ์ A คือ สายพันธุ์ดั้งเดิม เชื้อไวรัสจากค้างคาวติดต่อมาสู่คนผ่านทางตัวนิ่ม ซึ่งสายพันธุ์ A มี 2 สายพันธุ์ย่อย สายพันธุ์ย่อยหนึ่ง ชื่อว่า T-allele และอีกสายพันธุ์ชื่อว่า C-allele แตกต่างกันเล็กน้อยจากการกลายพันธุ์ โดยสายพันธุ์ย่อย T-allele  มีความเชื่อมโยงกับการแพร่ระบาดในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน รวมทั้งที่สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และเอเชียตะวันออก ที่มีรายงานผู้ป่วย COVID-19 มากกว่าหลายแสนเคส โดย 2 ใน 3 ของชาวอเมริกันที่ติดเชื้อ พบว่าเป็นสายพันธุ์ A แต่ชาวอเมริกันที่ติดเชื้อบนเรือสำราญทั้งหมด เป็นสายพันธุ์ B

สายพันธุ์ B พัฒนามาจากสายพันธุ์ A ตั้งแต่อยู่ภายในประเทศจีน เป็นสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดอย่างแพร่หลายมากที่สุดในเมืองอู่ฮั่น โดยพบว่า สายพันธุ์ B นั้น ปรับตัวได้สบายในระบบภูมิกันของชาวอู่ฮั่น จึงไม่จำเป็นต้องมีการกลายพันธุ์ในประเทศ ก่อนจะเริ่มเดินทางไปทั่วโลก โดยเชื่อว่าเริ่ม มีการแพร่ระบาดมาตั้งแต่ช่วงคริสต์มาสอีฟ
ดร.ปีเตอร์ ฟอร์สเตอร์ และทีมวิจัย พบว่า การแพร่ระบาดในสหราชอาณาจักรส่วนใหญ่ 3 ใน 4 เป็นสายพันธุ์ B เช่นเดียวกับประเทศ สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมัน ฝรั่งเศส เบลเยียมและเนเธอร์แลนด์ ก็เป็นสายพันธุ์ B อย่างไรก็ตาม เมื่อ สายพันธุ์ B แพร่ระบาดไปนอกเมืองอู่ฮั่นและต่างประเทศ เข้าสู่ร่างกายคนที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่ต่างกัน ทำให้เกิดการกลายพันธุ์มากขึ้นและรวดเร็วขึ้น แสดงให้เห็นว่า เชื้อไวรัสพยายามปรับตัวอย่างหนัก เพื่อที่จะมีชีวิตรอด และเอาชนะประชากรชาติอื่น ๆ อย่างเช่น ชาวตะวันตก
ส่วนสายพันธุ์ C สืบเชื้อสายมาจากสายพันธุ์ B ดร.ฟอร์สเตอร์ กล่าวว่า มันเป็น “ลูกสาว” ของสายพันธุ์ B มีวิวัฒนาการตัวเองนอกประเทศจีน แพร่ระบาดในยุโรปส่วนใหญ่ โดยเชื่อว่ามาจากประเทศสิงคโปร์  และประเทศเอเชียตะวันออก อย่างไรก็ดี ดร.ฟอร์สเตอร์ ระบุว่า ข้อมูลในการศึกษาครั้งนี้เป็นเพียงกลุ่มตัวอย่างเล็ก ๆ ของภาพรวมของทั้งหมด ไม่ได้มาจากทั้งหมดเป็นแสน ๆ เคสทั่วโลก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทางด้านนักวิจัยมั่นใจว่า วิธีการเหล่านี้จะสามารถช่วยวิเคราะห์จุดที่จะมีการแพร่ระบาดรุนแรง และการแพร่กระจายในอนาคต เพราะเชื่อว่า โคโรนาไวรัสนี้ จะยังคงพัฒนากลายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อเอาชนะความต้านทานของระบบภูมิคุ้มกันในประชากรที่แตกต่างกันทั่วโลก