เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

พ.ต.ต.โผล่เยี่ยมให้5พัน หนุ่มแกร็บฟู้ด ชีวิตพังหมอตัดขาทิ้ง เมียท้องลูกเล็กใครจะดู พี่ชายคาใจทำไมต้องขับหนี ยังโชคดีที่ป้ายทะเบียนตกในที่เกิดเหตุ

จากกรณีที่ นายกิตติศักดิ์ ศรีวิจี อายุ 20 ปี หนุ่มแกร็บฟู้ด ถูกรถเก๋ง โตโยต้า สีดำ ทะเบียน กจ-8238 บุรีรัมย์ เฉี่ยวชนแล้วหลบหนีไป โชคดีที่แผ่นป้ายทะเบียนตกในที่เกิดเหตุ โดยแพทย์จำเป็นตัดขาซ้ายของนายกิตติศักดิ์ออก เนื่องจากเป็นบาดแผลฉกรรจ์ตัดเส้นเลือดใหญ่ ไม่สามารถรักษาได้ ต่อมาโลกออนไลน์ มีการแชร์ต่อเพื่อตามหาคนขับรถที่หลบหนีมารับผิดชอบ จนกระทั่งพบเบาะแสว่าคนขับเป็นนายตำรวจระดับสารวัตร ยศ “พ.ต.ต.” ของ สภ.แห่งหนึ่งใน จ.บุรีรัมย์

ล่าสุดวันที่ 14 พ.ค. นายตำรวจยศ พ.ต.ต. นายดังกล่าว ได้เดินทางมาเยี่ยมนายกิตติศักดิ์ ซึ่งกำลังพักฟื้นรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล โดย พ.ต.ต. ได้นำกระเช้า พร้อมเงินสดมามอบให้เบื้องต้น 5,000 บาท เพื่อให้กำลังใจและเยียวยาผู้บาดเจ็บคู่กรณี พร้อมทั้งได้ขอโทษน้องชายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

บอกว่าไม่มีใครอยากให้เกิดและไม่มีเจตนาที่จะขับหนี แต่ตอนเกิดอุบัติเหตุมีลูกวัย 5 ขวบนั่งมาในรถด้วย แล้วลูกร้องไห้ตกใจเขาก็ทำอะไรไม่ถูกจึงได้ขับพาลูกกลับไปบ้านก่อน พอทราบว่าน้องที่ถูกชนได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นต้องตัดขา จึงได้เดินทางมาเยี่ยมพร้อมรับปากว่าจะดูแลรับผิดชอบให้ทั้งหมด ซึ่งก็ไม่ได้บอกรายละเอียด​ที่ว่าจะรับผิดชอบทั้งหมดคืออะไรบ้าง รอให้น้องหายดีก่อนแล้วค่อยพูดคุยกันอีกที

น.ส.อภิรรณ นามมูลตรี ภรรยาผู้บาดเจ็บ กล่าวว่า ตอนนี้อาการของสามีดีขึ้นเล็กน้อย แต่ยังรับสภาพตัวเองไม่ได้ที่ขาซ้ายต้องถูกตัดทิ้ง ซึ่งหลังจากนี้คงจะต้องใช้ชีวิตแบบปกติไม่ได้ โดยเฉพาะจะต้องมีภาระเลี้ยงดูลูกสาววัย 2 ขวบ และลูกที่ยังอยู่ในท้องอีกหนึ่งคน

นายกรวิชญ์ ศรีวิจี อายุ 25 ปี พี่ชายของนายกิตติศักดิ์ กล่าวว่า หลังจากทราบว่าคู่กรณีเป็นตำรวจมียศถึงสารวัตร ได้มีเพื่อนหลายคนมาเตือนว่าให้ระวังเกี่ยวกับเรื่องคดี เพราะส่วนใหญ่จะสู้กับคนมีสีไม่ได้ ส่วนตัวก็อยากจะรู้ว่าความยุติธรรมมีจริงหรือไม่ จึงได้แต่ภาวนาและตั้งปฎิภาณไว้ว่า ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่หรือคนธรรมดา ก็ใช้กฎหมายฉบับเดียวกัน

ซึ่งได้มีเพื่อนอีกหลายคนมาให้กำลังใจ แต่ถ้าถามว่าติดใจอะไรหรือไม่ ยอมรับว่ายังติดใจที่ ชนแล้วหนีทั้งๆที่เป็นเขตชุมชน ถ้าแผ่นป้ายทะเบียนไม่หล่นในที่เกิดเหตุและมีคนมาช่วยแชร์ให้ติดตามหาเจ้าของรถ ก็คงจะหายเข้ากลีบเมฆไปแล้ว