ลูกค้าแจงมา3ปีกินแบบนี้ไม่เคยเหลือ แต่กลับโดนด่าเฉย เสียใจมากเจ้าของเข้าใจธุรกิจบุฟเฟต์ผิด ด้านร้านปิดให้บริการแล้ว
วันที่ 10 กันยายน นายณัฏฐ์เมธี ธนกิตต์วุฒิกุล ลูกค้าที่ไปทานร้านชาบูนางใน สาขา พระรามเก้า 43 เล่าถึงเหตุการณ์กินบุฟเฟต์แต่กลับถูกขู่เก็บเงินเพิ่มเพราะเลือกกินแต่กุ้งว่า เหตุเกิดเมื่อ 4 กันยายนที่ผ่านมา ตนสั่งเนื้อส่วนน่องลาย 6 ถาด กุ้ง 2 ถาด วุ้นเส้น เห็ดเข็มทอง และไข่ไก่ จากนั้นก็นั่งกินไปตามปกติ จนกระทั่งเจ้าของร้านก็เดินเข้ามาใกล้ๆ โต๊ะ เลยสั่งเห็ดเข็มทองเพิ่มหน่อย แต่เจ้าของร้านบอกว่า ลูกค้าจะต้องสั่งผักสั่งอย่างอื่นด้วยไม่ใช่สั่งแต่เนื้อกับกุ้งอย่างเดียว
เมื่อได้ยินดังนั้นเลยถามไป ทางเจ้าของร้านก็ขึ้นเสียงดังใส่บอกว่าถ้าจะสั่งเนื้อกับกุ้งอย่างเดียวแบบนี้ร้านขาดทุน สิ่งที่เรากินไป ทางร้านไม่ได้กำไรเลย แล้วค่าจ้างพนักงานก็ไม่ได้ ถ้าหากมาครั้งหน้า จะขอเก็บเงินเพิ่ม แต่ไม่ได้บอกว่าเท่าไหร่ ก็เลยถึงกับงงเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อตนออกจากร้านมา ก็ไปกดอันไลก์เพจร้านออก แต่ทางร้านก็ส่งมาให้กลับไปไลก์เพจอีกรอบเลยไปรีวิวเพิ่มไม่แนะนำร้านนี้ ตนเสียความรู้สึก เพราะมาร้านนี้บ่อยมาก จากนั้นเจ้าของร้านมาตอบว่าลูกค้าควรจะกินหลากหลาย ไม่ได้สั่งแต่เนื้อแต่กุ้งอย่างเดียว แล้วมาขู่ตนว่าจะดำเนินการทางกฎหมาย ซึ่งตลอด 3 ปีที่ไปทาน ก็ทานแบบนี้เป็นประจำ กลับมีปัญหาในครั้งนี้
เราเป็นลูกค้าประจำที่มาทานร้านนี้ได้ 3 ปีแล้ว ทุกครั้งที่ไปทาน พนักงานร้านจะรู้เลยว่าตนกินอะไรบ้าง แล้วไม่เคยกินเหลือเลย ถ้าเจ้าของร้านทำแบบนี้ ตนจึงหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภค ทางหน่วยงานให้ส่งเอกสารเพิ่มเติมไปและตนก็ได้ไปลงบันทึกประจำวันไว้แล้วที่ สน.หัวหมาก
หลังจากที่เป็นข่าว ทางร้านก็ไม่ได้ติดต่อมาเลย เราคงไม่ไปร้านนี้อีกแล้ว เพราะบุฟเฟต์คือการหากำไรจากค่าเฉลี่ย ถ้าหากตนกินเยอะแล้วจะมาคิดเงินเพิ่ม นั่นก็หมายความว่า ถ้าหากมีคนกินน้อยก็จะต้องคืนเงินให้ ทางร้านมีทัศนคติดต่อธุรกิจไม่ถูกต้อง เรามีสิทธิ์ตามที่เราจ่ายเงินไม่ได้ผิดจากเงื่อนไข แต่ในมุมของผู้ประกอบการ จริง ๆเรื่องกำไร ขาดทุนไม่ควรมาพูดกับลูกค้า ร้านควรหาวิธีการตอบเจรจาให้ดีกว่านี้
ทั้งนี้ก็อยากจะขอโทษทางร้านชาบูสาขาอื่นด้วย ที่ทำให้ได้รับผลกระทบไปด้วย จึงอยากชี้แจงว่าไม่ได้เป็นเหมือนกันทุกร้าน
ส่วนร้านชาบูนางในสาขาพระรามเก้า 43 พบว่าร้านปิดให้บริการไม่มีพนักงานอยู่ภายในร้านเลย
*****************************************
(ขอขอบคุณเรื่องจาก The Tempo News)