เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แจง กฎหมายใหม่ ห้ามโฆษณาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ผ่านสื่อออนไลน์ เป็นการบังคับใช้ด้วยมาตรฐานเดียวกัน ไม่ปิดกั้นผู้จำหน่ายรายย่อย

เมื่อเวลา 11.00 น. วันนี้ที่ 4 ธ.ค. ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษก ตร. พร้อมด้วยพ.ต.อ.หญิง ศิริกุล กฤตพิทยบูรณ์ รองโฆษก ตร. นายแพทย์นิพนธ์ ชินานนท์เวล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สคอ.) ชี้แจงประเด็นกฎหมายตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยวิธีการหรือในลักษณะการขายทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2563 สร้างความเข้าใจให้ผู้ประกอบการ ร้านค้า และผู้ที่เกี่ยวข้อง รับทราบเจตนารมณ์ของกฎหมาย พร้อมทั้งให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตาม เพื่อป้องกันเด็กและเยาวชนไม่ให้เข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้โดยง่าย

โดยมีผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่และรายย่อย ที่มีการเปิดเพจเฟซบุ๊กหลายเพจ เพื่อจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้น และพบว่า บางเว็บเพจที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ผิดกฎหมายด้วย และย้ำว่า การบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกัน ทั้งบริษัทเล็กและบริษัทใหญ่ ไม่ได้ต้องการปิดกั้นช่องทางการโฆษณาของบริษัทจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายเล็กแต่อย่างใด

ยืนยัน กฎหมายฉบับนี้ มุ่งเน้นไปที่วิธีการจำหน่ายลักษณะเชิญชวนให้ซื้อ หรือ เสนอขายแก่ผู้บริโภคโดยตรงผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เช่น เว็บไซต์ เพจเฟซบุ๊ก ไลน์ เพื่อประโยชน์ทางการค้า ซึ่งไม่รวมถึงการซื้อขายโดยตรงที่ร้านจำหน่าย หรือการทำธุรกรรมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์

ทางพันตำรวจเอกศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่วันที่กฎหมายฉบับนี้ประกาศใช้ในวันที่ 7 ธันวาคม หากมีการละเมิดกฎหมาย จะมีโทษจำคุก ไม่เกิน 6 เดือน หรือ ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งนอกเหนือจากกฎหมายฉบับใหม่ที่จะบังคับใช้ ขอย้ำว่า กฎหมายฉบับเดิมที่เกี่ยวข้อง ก็ยังมีผลอยู่ เช่น หากเป็นการเชิญชวนให้ดื่มเครื่องดื่มแอกอฮอล์ จะเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากเป็นการจำหน่ายสุราหลีกเลี่ยงภาษี ก็จะมีโทษปรับตามปริมาณของน้ำสุรา ส่วนการขายให้กับเด็กและเยาวชน อาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯ ด้วย