วันที่ 24 ธันวาคม 63 จากกรณีหญิงสาวโพสต์เฟซบุ๊กหลังถูกพนักงานขับรถทัวร์ปฏิเสธการเดินทางกลับบ้านด้วยรถโดยสารปรับอากาศประจำทาง ที่สถานีขนส่งผู้โดยสารหมอชิต เมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ 23 ธันวาคม ที่ผ่านมา
ล่าสุด ที่บ้านเลขที่ 209 หมู่ 9 ต.ศิลา อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งบ้านหลังดังกล่าวเปิดเป็นร้านขายของชำเล็กๆ ในหมู่บ้านหนองเขียวได้พบกับเจ้าของเฟซบุ๊กชื่อ น.ส.เจนจิตร เสนานุช หรือน้องน้ำตาล อายุ 35 ปี น.ส.เจนจิตร เปิดเผยว่า ได้เดินทางออกจากบ้านที่อำเภอหล่มเก่า ตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม กับบิดาชื่อนายสมพราน เสนานุช อายุ 60 ปี เพื่อไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลศิริราช โดยได้ไปซื้อตั๋วล่วงหน้าแบบไปกลับเอาไว้ตั้งแต่ก่อนเดินทางแล้ว เมื่อถึงเวลาเดินทางกลับเวลา 16.00 น.ของวันที่ 23 ธันวาคม จึงเดินไปขึ้นรถพร้อมยื่นบัตรให้พนักงานบริการหญิงบนรถทัวร์เพื่อฉีกบัตรและเดินขึ้นรถ
พนักงานหญิง ได้ถามว่า ซื้อตั๋วได้ที่นั่งชั้นบนเลยเหรอ มันขึ้นลำบากนะ ตนจึงตอบว่า ชั้นล่างมันเต็มค่ะ จากนั้นจึงก้าวเท้าบันไดขั้นแรกเพื่อขึ้นไปชั้นสอง ขณะเดียวกันคนขับรถที่กำลังยกกระเป๋าขึ้นรถได้หันมาเห็น จึงได้เดินมาหาและถามว่าเค้าเป็นอะไร พนักงานบริการหญิงจึงบอกว่าน้องเค้าเป็นแผลเดินไม่ค่อยไหว คนขับรถทัวร์จึงบอกให้ตนลงไปนั่งรอข้างล่างนอกรถ เพื่อให้เจ้าหน้าที่มาตรวจก่อน ซึ่งตนเองก็เข้าใจว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ อสม.มาตรวจโควิด-19 แต่ก็ไม่ได้โต้เถียง สักพักจึงมาพูดว่าไหนใครเป็นแผลเป็นอะไรไม่ให้ขึ้น ไปคืนตั๋วเลย จึงไม่ทันได้ถ่ายคลิปตอนคนขับรถพูดเอาไว้ ด้วยความที่ไม่อยากมีปัญหาทะเลาะกัน ตนและพ่อ จึงไม่ได้โต้เถียงและเอาตั๋วไปคืนกับบริษัททัวร์ จากนั้นจึงไปซื้อตั๋วใหม่กับบริษัทขนส่ง 99 แทน และได้เวลาเดินทาง 20.00 น.วันเดียวกัน กลับถึงท่ารถที่อำเภอหล่มสัก 03.00 น.แล้วเดินทางกลับถึงบ้านที่อำเภอหล่มเก่าเวลา 04.00 น.
น.ส.เจนจิตร กล่าวต่อว่า ตนเองป่วยเป็นโรคเป็นเซลล์ผิวหนังบกพร่อง สร้างภูมิคุ้มกันให้ตนเองไม่ได้ตั้งแต่เกิดแล้วเป็นๆ หายๆ ขึ้นๆ ลอกๆ แบบนี้ตลอด และจะเป็นมากในช่วงฤดูร้อนเป็นแผลขึ้นตุ่มน้ำพอง ซึ่งโรคนี้ไม่ได้เป็นโรคติดต่อและไม่ทำให้เสียชีวิต แต่ถ้าจะเสียชีวิตก็จะมีสาเหตุมาจากเกิดภาวะแทรกซ้อน แพทย์บอกว่าต้องใช้เวลาในการรักษา แต่ตนเป็นมาตั้งแต่เกิด จนอายุ 35 ปี ยังต้องรักษาอยู่จนทุกวันนี้ ซึ่งก็ทำใจยอมรับที่จะอยู่กับโรคนี้ตลอดไป และต้องเดินทางไปพบแพทย์ที่กรุงเทพฯ ตลอด ทุก 2-3 เดือนเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว
“แต่ถ้ามีโรคอื่น เช่น โรคตาก็จะต้องไปอีก ในเดือนนี้ต้องเดินทางถึง 3 ครั้ง เพราะตอนนี้ได้ลุกลามจนตาข้างซ้ายบอดสนิทได้ปีกว่าแล้วด้วยสภาวะม่านตาเสื่อม มองเห็นเพียงข้างขวาข้างเดียว แพทย์บอกว่ารักษาได้แค่ยิงเลเซอร์รักษาอาการปวดเท่านั้น และประคองไม่ให้ข้างขวาบอดอีก และต้องไปพบแพทย์รักษาฟันที่มีอาการผุกร่อนจึงต้องไปต่อฟันเพราะถ้าไม่ต่อฟันแล้วเวลาเคี้ยวอาหารจะทำให้เหงือกบวม โดยได้ใช้สิทธิคนพิการในการรักษา
ส่วนค่าใช้จ่ายเรื่องการเดินทางหรือค่าอาหารต้องออกเอง ซึ่งก็ต้องใช้เงินพอสมควรเพราะเดินทางเป็นประจำ และไม่สามารถขึ้นรถประจำทางได้ ต้องนั่งแท็กซี่จึงทำให้มีค่าใช้จ่ายเยอะมาก ยิ่งถ้ารถติดก็จะหมดค่าแท็กซี่มากขึ้น สำหรับโรคนี้แพทย์เคยบอกว่า ถ้าจะรักษาต้องฉีดสเตียรอยด์ก็จะดีขึ้น แต่ก็จะไม่หายขาด ได้แค่ทุเลาอาการเท่านั้น หากหมดฤทธิ์สเตียรอยด์ก็อาจจะหนักขึ้นหนักกว่าเดิม และหากฉีดมาก จะไปทำลายระบบภายในมากขึ้น เป็นผลเสียมากกว่าหากมีผู้ใจบุญยื่นมือให้ความช่วยเหลือก็จะดีใจมากเพราะว่าอยากหายจากโรคนี้เหมือนกัน“
น.ส.เจนจิตร กล่าวต่ออีกว่าช่วงเกิดเหตุก็ไม่ได้โต้เถียงเพราะหากพูดต่อปากต่อคำคงจะมีปากเสียงทะเลาะกันเปล่าๆถ้าพนักงานขับรถสอบถามว่าเป็นแผลเกิดจากอะไรเป็นโรคติดต่อไหม ตนเองก็จะตอบและให้พูดคุยกับอาจารย์หมอเกี่ยวกับรายละเอียดของโรค ที่ตนนำเรื่องราวไปโพสต์ลงเฟซบุ๊กนั้นก็ไม่อยากไปร้องขอความเป็นธรรมหรือขอความช่วยเหลือจากใคร ไม่ได้หวังทำร้ายใครให้คุณลุงคนนั้นตกงาน เพียงแค่อยากให้สังคมรับรู้ว่าคนทำงานบริการควรให้บริการทุกคนเท่าเทียมกันทั้งเด็กและคนพิการไม่ใช่แบ่งชนชั้นแบบนี้
“ก็ไม่อยากให้คุณลุงตกงาน เพราะคุณลุงก็มีลูกและครอบครัวต้องรับผิดชอบ” น.ส.เจนจิตร กล่าว
ด้านนายสมพราน บิดาของน.ส.เจนจิตรกล่าวว่า ตนเองประกอบอาชีพเกษตรกรรม แต่ทุกวันนี้ทำไร่ไม่ไหวแล้ว จึงต้องทำเศรษฐกิจพอเพียงเลี้ยงหมูไก่และปลา มีลูกคนเดียวคือน.ส.เจนจิตร ตนเป็นเพียงชาวบ้านที่ไม่มีความรู้อะไรไปไหนต้องให้ลูกสาวเป็นผู้พูดคุย ช่วงเกิดเหตุตนไม่ได้โต้เถียงอะไรกับคนขับ เพราะไม่อยากมีเรื่องมีราว ตนดูแลรักษาลูกตั้งแต่ยังเล็กพาไปหาหมอเช็ดตัวดูแลอย่างดีมาจนทุกวันนี้ โดยไม่เคยรังเกียจและโรคที่เป็นก็ไม่ใช่โรคติดต่อ ตนมีรถยนต์เก่าๆ เดินทางไปทางไกลไม่ไหว เอาใช้สำหรับไปในหมู่บ้านหรืออำเภอใกล้เคียงเท่านั้น หากขับเข้ากรุงเทพฯ คงไปไม่ถึงอย่างแน่นอน รู้สึกสงสารลูกสาวมาก เดินทางมาตลอดกับบริษัทเพชรประเสริฐก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้บางครั้งลูกสาวปวดเท้ามากก็มีพนักงานใจดีช่วยอุ้มลูกขึ้นรถด้วยก็ยังมี ตนรู้สึกเสียใจและไม่เคยคิดไปเอาเรื่องเอาความอะไรกับคนขับรถเลย
ขณะที่นางเขียน เสนานุช มารดาของนางสาวเจนจิตรกล่าวว่า รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับลูกสาวจนร้องไห้เลย อยากให้สงสารลูกด้วย อย่าไปรังเกียจคนพิการเลย ทุกวันนี้ตนก็ไปรับจ้างรายวันหารายได้มาเลี้ยงครอบครัวอีกทางหนึ่ง ส่วนร้านชำให้ลูกสาวดูแลเพราะลูกถูกแดดไม่ได้
ข้อมูลจาก Thairath