เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

ใกล้ความจริง “ลุงพล-ป้าแต๋น” ถูกเชิญตัวมาที่ จ.ปทุมธานี เข้าสู่กระบวนการใช้เครื่องจับเท็จ

วันนี้(8 ม.ค.) นายไชย์พล หรือลุงพล และนางสมพร หรือป้าแต๋น ถูกเชิญตัวมาที่ จ.ปทุมธานี เพื่อเข้าสู่กระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์ โดยต้องถูกผู้เชี่ยวชาญซักถามก่อนเข้าสู่กระบวนการใช้เครื่องจับเท็จ โดยวันพรุ่งนี้เวลาประมาณ 09.00 น. จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการโดยคาดว่าจะใช้เวลาคนละประมาณ 3 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตามมีรายงานว่าก่อนหน้านี้ตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค.ที่ผ่านมา น้องสะดิ้ง พี่สาวของน้องชมพู่ ซึ่งเป็นคนแรกที่ผู้เชี่ยวชาญได้สัมภาษณ์ประมาณ 1 ชั่วโมง ถัดจากนั้น นายอนามัย พ่อของน้องชมพู่ เป็นคนที่สองถูกสัมภาษณ์แล้วเข้าเครื่องจับเท็จโดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง จากนั้นช่วงบ่ายนางสาวิตรี แม่ของน้องชมพู่ เป็นคนที่สามถูกสัมภาษณ์แล้วเข้าเครื่องจับเท็จโดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง
รายงานข่าวแจ้งอีกว่าวันที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมาช่วงเช้านางจุไรภรณ์ หรือน้าต่าย โดยผู้เชี่ยวชาญสัมภาษณ์ก่อนนำเข้าเครื่องจับเท็จโดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ซึ่งในช่วงบ่ายนายเสริม(น้าเขย) ผู้เชี่ยวชาญสัมภาษณ์ก่อนนำเข้าเครื่องจับเท็จใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง
วันที่ 7 ม.ค.ช่วงเช้านายนรินทร์ หรือน้าแต โดยผู้เชี่ยวชาญสัมภาษณ์ก่อนนำเข้าเครื่องจับเท็จใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง จากนั้นช่วงบ่าย น.ส.สายฝน หรือฝน โดยผู้เชี่ยวชาญสัมภาษณ์ก่อนนำเข้าเครื่องจับเท็จใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ก่อนเสร็จสิ้นซึ่งทั้ง 7 คนเดินทาง กลับหมู่บ้านกกกอก จ.มุกดาหาร โดยรถยนต์ตู้ของ สภ.กกตูม

สำหรับการเสียชีวิตของน้องชมพู่ หรือ ด.ญ.อรวรรณ วงศ์ศรีชา อายุ 3 ขวบ ซึ่งตั้งแต่น้องชมพู่หายตัวไปจนกระทั่งพบศพจนถึงระยะเวลาล่วงเลยกว่า 7 เดือน โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. แถลงความคืบหน้าคดีครั้งล่าสุดช่วงรับตำแหน่งผู้นำชาวสีกากีเมื่อวันที่ 2 ต.ค.2563 ว่า “น้องชมพู่ไม่สามารถเดินขึ้นไปบนจุดพบศพบนภูเหล็กไฟได้ด้วยตนเอง” ด้วย 8 เหตุผล คือ
1.เส้นทางขึ้นภูเหล็กไฟได้มี 4 เส้นทาง ที่ยากลำบากเกินความสามารถของน้องชมพู่ มีเนินชันมากกว่า 60 องศา ขวางกั้นในทุกเส้นทาง สอบปากคำพ่อแม่คนในบ้านบอกน้องชมพู่ยังขึ้นบันไดที่บ้านไม่ถนัดทั้งที่มีความลาดชัดเพียงชัน 45 องศา เท่านั้น ดังนั้นการขึ้นภูด้วยตัวเองเป็นไปไม่ได้
2.พลังงานจากอาหารมื้อสุดท้ายที่น้องชมพู่รับประทานไปไม่เพียงพอต่อการเดินไปบนจุดพบศพ น้องชมพู่รับประทานข้าวไข่เจียว 3 คำ น้ำส้ม 1 ขวดเท่านั้น
3. ประสบการณ์ชาวบ้านยืนยันว่าเด็ก 3 ขวบ จะปีนป่ายไปถึงได้เพียงชั้นที่ 2 ของภูเหล็กไฟเท่านั้น แต่จุดที่พบน้องชมพู่อยู่สูงกว่านั้นมาก
4. กรณีศึกษาการหลงป่า ของ นางทิน เชื้อคมตา ระยะทางพลัดหลงไกลว่าน้องชมพู่ 2 เท่า แต่ชาวบ้านกกตูมชาวบ้านสามารถหาได้เจอภายในคืนเดียว
5. แพทย์ผู้ชันสูตรและกุมารแพทย์ ยืนยืนว่า พัฒนาการของเด็กอายุ 3 ขวบ ไม่สามารถที่จะเดินขึ้นไปเองได้ ณจุดที่พบศพ กุมารแพทย์ยังชี้ว่าพัฒนาการของเด็กไวนี้หากหลงทางห่างจากบ้านไป200 เมตร ยังคงเห็นบ้านตัวเอง และกลับมาได้สภาพศพที่เปลือยกาย ซึ่งบิดาและมารดาของน้องชมพู่ยืนยันว่าน้องชมพู่ไม่สามารถถอดเสื้อเองได้
7. พยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ ที่ตรวจพบเส้นผมน้องชมพู่ 36 เส้น ถูกตัดหรือเฉือนด้วยมีด เชื่อได้ว่าเป็นการกระทำของบุคคลอื่น เนื่องจากน้องชมพู่ไม่สามารถเฉือนเองได้

8. พ่อ แม่ คนในครอบครัวนิสัยส่วนตัวของน้องชมพู่ กลัวที่สูง กลัวที่มืด กลัวป่า กลัวสุนัข กลัวสวนยาง ที่ผ่านมาของน้องชมพู่ไม่เคยไปในป่าหลังบ้านเลยสักครั้ง พ่อแม่ไม่เคยพาไป
จึงเชื่อได้ว่า มีผู้พาน้องชมพู่ไป และทำให้น้องชมพู่ถึงแก่ความตาย ทั้งทางตรง ทางอ้อม
สุดท้ายก็มาถึงกระบวนการสัมภาษณ์จากผู้เชี่ยวชาญก่อนเข้าเครื่องจับเท็จ ซึ่งเร็วๆนี้ผู้ติดตามคงได้รู้ความจริงคดีใกล้จบแล้ว “ใคร” คือคนร้ายที่ ผบ.ตร. ลั่นคำพูดว่าต้องนอนเครียดต่อไปเพราะเรายังไม่เลิก ซึ่งข้อหาที่กระทำผิดคือพรากเด็กฯ , กักขังหน่วงเหนี่ยวเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิตและข้อหาซ่อนเร้นอำพรางศพ.
*********************************
(ขอขอบคุณเรื่องจาก ดาวเเปดแฉก)