เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

หญิงวัย 62 ปีอยู่กันตามลำพังกับลูกชายคนเล็ก มีประวัติเคยต้องโทษ เสพยา ล่าสุดเกิดคลุ้มคลั่งเผาบ้าน และฆ่าแม่ตัวเอง ตำรวจมาถึงพบภาพสุดสยองลากศพออกมาชำแหละ ตัดลิ้น คว้ามีดวิ่งเข้าหาจะแทง สุดท้ายต้องยิงสกัด วิสามัญฆาตกรรมตายในที่เกิดเหตุ   

เวลา 09.40 น. วันที่ 19 ม.ค.64 พ.ต.ท.รังสรรค์ ตุ้ยโชติ รอง ผกก.(สอบสวน) สน.บางเสาธง รับแจ้งเหตุชายคลุ้มคลั่งเผาบ้านตัวเอง และฆ่าผู้อื่น ในบ้านเลขที่ 18/4 ซอยบางพรม 54 ถนนบางพรม แขวงบางพรม เขตตลิ่งชัน กทม. จึงรุดไปตรวจสอบพร้อม พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. พล.ต.ต.เอกชัย บุญวิสุทธิ์ ผบก.น.7 พ.ต.อ.ศุภศักดิ์ โปรียานนท์ ผกก.สน.บางเสาธง กองพิสูจน์หลักฐาน แพทย์นิติเวช รพ.ศิริราช และเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู

ที่เกิดเหตุเป็นบ้านลักษณะอาคารปูนชั้นเดียว ปลูกอยู่ในที่ดินท้ายซอย เมื่อมาถึงพบกลุ่มควันในบ้านเพียงเล็กน้อย โดยมี นายนนทชัย กรานเคารพ หรือโอ๊ต อายุ 35 ปี ลูกชายเจ้าของบ้าน สวมเสื้อแขนสั้นสีขาว นุ่งกางเกงขาสั้นสีดำ กำลังอยู่ในอาการคลุ้มคลั่ง ในมือถือมีดพร้ายาวประมาณ 1 ฟุตครึ่งกวัดแกว่งไปมา เมื่อเจ้าตัวพบเจ้าหน้าที่สายตรวจและหน่วยดับเพลิง ได้แสดงพฤติกรรมอันน่าสะพรึงด้วยการวิ่งเข้าไปในบ้านแล้วลากศพ นางสุรางค์รัตน์ จ้อยเจือ อายุ 62 ปี มารดาของตัวเอง ซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน นำร่างออกมาวางไว้ที่ลานซีเมนต์ทางเข้าบ้าน ในสภาพเปลือยท่อนล่าง ก่อนใช้มีดในมือจ้วงแทงศพแม่อีกหลายครั้ง หนำซ้ำยังใช้มีดเล่มเดียวกันปาดที่อก เลาะกราม ตัดลิ้น ตัดนิ้วมือ ออกจากศพด้วยความน่าสยดสยอง

จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ตัดสินใจช่วยกันไล่ต้อน นายนนทชัย ซึ่งอยู่ในอาการคล้ายคนเสียสติให้ออกห่างจากศพแม่ โดยนายนนทชัยได้วิ่งหนีออกไปทางป่ากล้วยบริเวณด้านหลังบ้าน ทางชุดผจญเพลิงจึงมีโอกาสช่วยกันควบคุมเพลิงภายในบ้านจนสงบ ส่วนนายนนทชัยวิ่งทะลุป่ากล้วยมุ่งหน้าไปทางถนนบางพรหม กระทั่งไปพบกับกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร สน.บางเสาธง 4-5 นาย ซึ่งถูกเรียกมาเสริมกำลังช่วยสกัดจับบริเวณคอสะพานข้ามคลองลัดวัดใหม่ ห่างตัวบ้านที่เกิดเหตุประมาณ 200 เมตร

เมื่อ นายนนทชัย เห็นตำรวจก็หยุดชะงัก จากนั้น ร.ต.อ.ชูชาติ ลักษิตานนท์ รอง สว.จร.สน.บางเสาธง หัวหน้าชุดจึงได้พยายามเจรจาให้ นายนนทชัย วางมีดในมือลง โดยทีแรกเจ้าตัวก็แสร้งทำทีเป็นวางมีดยินยอมแต่โดยดี เมื่อถึงจังหวะที่ ร.ต.อ.ชูชาติ จะเข้าไปควบคุมตัว นายนนทชัย กลับหยิบมีดขึ้นมาพุ่งเข้าหา ร.ต.อ.ชูชาติ ในระยะกระชั้นชิด แม้ ร.ต.อ.ชูชาติ จะชักอาวุธปืนกล็อก 19 ขนาด 9 มม. ปืนประจำกายยิงขู่ไปในทิศทางที่ปลอดภัยแล้ว 2 นัด แต่ นายนนทชัย กลับไม่ยอมหยุด หันคมมีดพุ่งเข้าใส่ ทำให้ต้องยิงเพื่อหยุดยั้งภัยและป้องกันตัวอีก 5 นัด กระสุนเข้าที่กลางศีรษะ 1 นัด ไหปลาร้าขวา 1 นัด และขาขวาอีก 3 นัด ส่งผลให้ นายนนทชัย นอนเสียชีวิตคาที่ โดยที่ข้างๆ ศพยังพบเศษชิ้นส่วนลิ้นและกรอบรูปของ นางสุรางค์รัตน์ ที่นายนนทชัยถือติดมือวิ่งออกมาจากบ้านด้วย เจ้าหน้าที่จึงเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน

จากการสอบสวน น.ส.ศิริรัตน์ จ้อยเจือ อายุ 38 ปี หลานสาวนางสุรางค์รัตน์ และเป็นลูกพี่ลูกน้องกับนายนนทชัย ให้การว่า ปกติที่บ้านหลังเกิดเหตุมีผู้ตายทั้ง 2 คนอยู่กันลำพังแม่ลูก ซึ่งที่ผ่านมา นายนนทชัย มีประวัติเสพยาจนเกิดคลุ้มคลั่งทำร้ายชาวบ้านและแม่ตัวเองบ่อยครั้ง จนบางวัน นางสุรางค์รัตน์ ต้องแอบออกไปนอนข้างถนน โดยครั้งสุดท้ายที่เห็นนางสุรางค์รัตน์ คือเมื่อวานนี้ (18 ม.ค.) ช่วงเย็น ซึ่งตนเชื่อว่านายนนทชัยน่าจะเสพยามีอาการกำเริบตั้งแต่ช่วงกลางดึกที่ผ่านมา ก่อนก่อเหตุฆ่าแม่ตัวเอง และจุดไฟเผาบ้านในช่วงเช้าวันนี้ กระทั่งมาโดนวิสามัญฆาตกรรมดังกล่าว

ขณะที่ นายนพดล กรานเคารพ อายุ 38 ปี บุตรชายคนกลางของ นางสุรางค์รัตน์ และเป็นพี่ชายของนายนนทชัย ทราบข่าวได้รุดมาดูจุดเกิดเหตุ พร้อมให้ข้อมูลว่า น้องตนเคยติดคุกคดีชิงทรัพย์ พ้นโทษออกมาก็ยึดอาชีพขับมอเตอร์ไซค์วิน ส่วนตนแยกบ้านกันอยู่กับแม่และน้องชายมาสักระยะแล้ว เนื่องจากทนพฤติกรรมอาละวาดของน้องชายไม่ไหว แต่แม่ก็ไม่ยอมไปไหน เพราะห่วงน้องชายซึ่งเป็นลูกคนเล็ก สำหรับพฤติกรรมการคลุ้มคลั่งนั้นตนยอมรับว่าน้องมีแอบเสพยาบ้าง แต่สาเหตุหลักน่าจะเกิดจากการที่น้องชายตนถูกรถชนเมื่อปีที่แล้วจนมีอาการกระทบกระเทือนทางสมอง เป็นบุคคลมี 2 บุคลิก อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ตนและแม่พยายามจะพาไปรักษา แต่เจ้าตัวก็ไม่ยอม จนมาเกิดเหตุสลดขึ้น

ทางด้าน พล.ต.ท.ภัคพงศ์ กล่าวว่า เท่าที่สอบถามประวัติผู้ถูกวิสามัญฆาตกรรม ทราบว่าเคยต้องโทษคดีชิงทรัพย์ท้องที่ สน.ตลิ่งชัน เมื่อปี 2548 พอพ้นโทษออกมาปี 2559 ยึดอาชีพขับรถ จยย.รับจ้าง จนปีที่แล้วประสบอุบัติเหตุได้รับการกระทบกระเทือนทางสมองจริง แต่เรื่องยาเสพติดยังต้องรอผลการตรวจพิสูจน์จากกองพิสูจน์หลักฐาน และผลผ่าชันสูตรของแพทย์ ซึ่งในคดีนี้นายตำรวจผู้กระทำการวิสามัญฯจะต้องถูกแจ้งข้อหาในส่วนที่เกี่ยวข้องเอาไว้ก่อน จึงอยากฝากเตือนไปถึงประชาชนหากมีผู้ป่วยลักษณะนี้อยู่ภายในบ้านให้รีบนำตัวไปรักษา ซึ่งทางตำรวจยินดีให้ความช่วยเหลือหากญาติยินยอม ตำรวจพร้อมจะเข้ามาช่วยนำตัวไปตรวจร่างกายเพื่อรักษาอาการให้ถูกทางต่อไป.