เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

วิเคราะห์คดี อดีต ผกก โจ้ โดย ทนายชลวิภา วิริยะกุล (ทนายความบริษัท ทีวีพูล กรุ๊ป จำกัด) จากกรณีเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2564 เวลา 22.00 น. หลังจากที่ได้ดูแถลงข่าวคดี ของ ผกก โจ้

ข่าวอื่นๆเพิ่มเติม

สรุปคำให้การของ ผู้กํากับโจ้ เบื้องต้นว่า

“ตนไม่ได้รีดเอาเงินจากผู้ต้องหา 2 ล้านบาท แต่เค้นเพื่อถามหาข้อมูลพยานหลักฐาน ยาเสพติดที่ผู้ต้องหาซ่อนไว้ ที่ทำไปเพื่อชาวนครสวรรค์ แต่พลั้งมือทำผู้ต้องหาเสียชีวิต ที่เอาถุงคลุม เพราะไม่อยากให้เห็นหน้าตน และไม่ได้คิดหนี เพียงแต่ตกใจเลยหลบไปตั้งหลัก ยอมรับผิดทุกอย่าง ขอโทษที่ทำให้ตำรวจเสื่อมเสีย ตนขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียว ลูกน้องไม่ผิด เพราะทำตามคำสั่งของตน “

ขอสรุป 4 ข้อ หลักๆ ดังนี้

1. ถ้าหากดูในคลิปนั้น จะมีประโยคนึง ของอดีต ผกก โจ้ พูดว่า “กูจะเอามึงยันตายอ่ะ เลือกเอา” ซึ่งคำพูดนี้ ถือว่าเล็งเห็นผล ให้ผู้ต้องหาถึงแก่ ความตาย มีเจตนาฆ่า ตาม ป.อ.มาตรา 288 แน่นอน ถึงแม้จะอ้างว่าทำไปเพื่อเค้นเอาข้อมูลยาเสพติดก็ตาม จึงฟังไม่ขึ้น


2. ที่ใช้ถุงคลุมหัวผู้ต้องหา ทำไปเพราะไม่อยากให้เห็นหน้าตนนั้น พฤติการณ์ดูแล้ว เพียงแค่ใช้ถุงดำคลุมหัวชั้นแรก ก็เพียงพอที่จะไม่เห็นหน้า แต่จากในคลิป ยังใช้ถุงคลุมเพิ่มอีกหลายชั้น และมีการใช้มือรัดถุงที่คอจนทำให้ผู้ต้องหาขาดอากาศหายใจนั้น ซึ่งตนเป็น จนท ตำรวจ ยศสูง รู้กฎหมายเป็นอย่างดี มีจรรยาบรรณ ย่อมเล็งเห็นว่าจะทำให้ผู้ต้องหาเสียชีวิต ถือว่าทำเกินกว่าเหตุ


3. กรณี ที่ อดีต ผกก โจ้ ขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียว ลูกน้องไม่ผิด เพราะลูกน้องห้ามแล้ว ตนไม่ฟัง ต้องทำตามคำสั่งตนนั้น ลูกน้องจะพ้นความรับผิดหรือไม่ เห็นว่าลูกน้องเป็นตัวการร่วมกันในการกระทำความผิด หลักฐานชี้ชัด ไม่มีทางหลุดแน่นอน


4. และจากที่ฟังคำสัมภาษณ์ อดีต ผกก โจ้ โดยมีทนายนั่งข้างๆระหว่างสัมภาษณ์จะเน้นไปที่เรื่องว่าตน พลั้งมือ ไม่ได้มีเจตนาฆ่า ที่ทำไปเพราะจะเค้นเอายาเสพติดจากผู้ต้องหา ต้องการช่วยชาวนครสวรรค์ จะเป็นเหตุบรรเทาโทษได้หรือไม่ เห็นว่า ตามกระบวนการยุติธรรมจะพิจารณาจากพยานหลักฐานเป็นสำคัญ ถึงแม้จะอ้างว่าไม่มีเจตนาฆ่าก็ตาม แต่เล็งเห็นผลถึงการกระทำของตนว่าจะทำให้ผู้ต้องหาถึงแก่ความตาย ก็มีความผิด และต้องรับโทษตามกฎหมาย โดยไม่ได้รับการบรรเทาโทษแต่อย่างใด