เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

พนักงานสอบสวนค้นห้องนอน ผกก.โจ้ คลายปมป่วยเป็นโรคไบโพลาร์ ผลตรวจไม่พบยารักษาตัว และเตรียมยื่นต่อศาลขอย้ายตัว ผกก.โจ้และพวกจากเรือนจำกลางพิษณุโลกไปอยู่ที่เรือนจำกลางในกรุงเทพฯ ภายหลังโอนย้ายคดีไปให้ บก.ป.ดำเนินการ ขณะที่คณะทำงานเชื่อมั่นในพยานและหลักฐาน ส่วนคลิปถุงพลาสติกครอบหัวอยู่ระหว่างตรวจสอบว่าตัดต่อหรือไม่

ภายหลังเจ้าหน้าที่ 4 ฝ่ายประกอบด้วย พนักงานสอบสวน บก.ป. และ สภ.เมืองนครสวรรค์ มี พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป.เป็นหัวหน้าชุด นายพิริยะ วรรธนะมณีกุล อัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด ปฏิบัติราชการสำนักงานอัยการจังหวัดนครสวรรค์ แพทย์โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ และฝ่ายปกครองร่วมกันสอบสวนพยานคดี พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ ผกก.โจ้ อดีต ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ กับพวกรวม 7 คน ใช้ถุงพลาสติกครอบศีรษะนายจิระพงศ์ หรือมาวิน ธนะพัฒน์ อายุ 24 ปี ผู้ต้องหาคดียาเสพติดในเซฟเฮาส์ “บ้านกาแฟ” ด้านข้างโรงพักจนเสียชีวิต คณะทำงานอยู่ระหว่างพิสูจน์ว่า คลิปไม่มีการตัดต่อใช้เป็นหลักฐานในคดีได้ ขณะที่พนักงานสอบสวน บก.ป. เตรียมทำเรื่องขอย้ายตัวผู้ต้องหาเข้าเรือนจำในกรุงเทพฯ

ความคืบหน้าเมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 1 ก.ย. พล.ต.ต.ระพีพงษ์ สุขไพบูลย์ ผบก.ภ.จ.นครสวรรค์ กล่าวว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. สั่งการให้ พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป.หัวหน้าชุดสอบสวนทำเรื่องส่งตัวผู้ต้องหาทั้งหมดเข้าไปอยู่ในเรือนจำกลางพิษณุโลก เนื่องจากในพื้นที่ จ.นครสวรรค์ มีการแพร่ระบาดโควิด-19 แต่การที่จะย้ายผู้ต้องหาไปเรือนจำในกรุงเทพฯนั้นอยู่ระหว่างดำเนินการ คดีนี้ประชาชนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ตำรวจดำเนินการสืบสวนและสอบสวน พร้อมมี หลักฐานสำคัญคือคลิปช่วงเกิดเหตุใช้ถุงพลาสติกครอบหัวผู้ต้องหา เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างตรวจสอบว่ามีการตัดต่อหรือไม่

พล.ต.ต.ระพีพงษ์กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องมีชาวบ้านร้องเรียนคดียาเสพติดในพื้นที่ จ.นครสวรรค์ ขอให้ประชาชนเชื่อมั่น ถ้าพบเห็นหรือรู้มีเบาะแสเกี่ยวกับการร้องเรียน ตำรวจจะตรวจสอบและทำความจริงให้กระจ่างทุกราย ในวันที่ 2 ก.ย. คณะทำงานประกอบด้วย ตำรวจ แพทย์นิติเวช อัยการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเดินทางไปให้ปากคำต่อกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ที่รัฐสภา

ด้าน พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. กล่าวว่า พนักงานสอบสวนเตรียมข้อมูลเพื่อเข้าสอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 7 คน ในวันที่ 2 ก.ย. ที่เรือนจำกลางพิษณุโลก การสอบสวนในครั้งนี้จะมีพนักงานสอบสวน ทนายความและอัยการเข้าร่วมด้วย ส่วนการโอนย้ายผู้ต้องหาทั้ง 7 คน ขณะนี้ตำรวจอยู่ระหว่างประสานงานเรื่องงานเอกสารธุรการต่างๆ ในการทำเรื่องย้ายผู้ต้องหาจากเรือนจำกลางพิษณุโลกมายังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ หลังจากมีคำสั่งโอนย้ายสำนวน และผู้ต้องหามาอยู่ในความรับผิดชอบของกองปราบปรามขั้นตอนต่างๆ ต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง ส่วนการดำเนินการหลังโอนสำนวนคดีมาให้กองปราบปรามแล้ว ยังคงทำงานเป็นรูปคณะเหมือนเดิมมี พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร.เป็นหัวหน้าคณะทำงาน ประกอบด้วยคณะทำงานชุดเดิมทั้งหมด เปลี่ยนแปลงเพียงเอาคดีมาลงเลขที่กองปราบฯ เพื่อโอนคดีมาไว้ที่ส่วนกลาง เน้นหนักคดีที่เกิดขึ้นที่ สภ.เมืองนครสวรรค์ ก่อนจะขยายผลไปยังส่วนอื่นทั้งเส้นทางการเงิน และทรัพย์สินอื่นๆต่อไป

ขณะที่นายณรงค์ จุ้ยเส่ย ผู้บัญชาการเรือนจำกลางพิษณุโลก เปิดเผยว่า กรณีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะขอย้ายตัว พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ ผกก.โจ้ อดีต ผกก.สภ.นครสวรรค์ กับพวกไปที่เรือนจำในกรุงเทพฯนั้น ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 สำนักงานตำรวจแห่งชาติทำหนังสือร้องขอเรียบร้อยแล้ว ตามขั้นตอนนั้น ผกก.โจ้กับพวก มีสิทธิ์ที่จะคัดค้านขอไม่ย้ายไปก็ได้ หากยินยอมย้ายไปและศาลพิจารณาอนุมัติตามคำร้องขอ สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องทำหนังสือถึงกรมราชทัณฑ์ เพื่อให้ทำหนังสือแจ้งมายังเรือนจำกลางพิษณุโลกอีกครั้งถึงจะย้าย ผกก.โจ้ กับพวกไปได้ ดังนั้น ต้องรอให้ศาล พิจารณาคำร้องของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้แล้วเสร็จและมีคำพิพากษาออกมา อาจต้องใช้เวลาแต่คงไม่ช้าเพราะเป็นการสื่อสารทางระบบอิเล็ก-ทรอนิกส์ ถึงเวลานี้ยังไม่มีการเคลื่อนย้าย ผกก.โจ้กับพวกออกไปจากเรือนจำกลางพิษณุโลกแต่อย่างใด

ต่อมาเวลา 10.00 น. พนักงานสอบสวนไปตรวจ ค้นห้องนอน ผกก.โจ้ พักอยู่ในตัวเมืองนครสวรรค์อีกครั้ง ภายหลังมีประเด็น ผกก.โจ้ป่วยเป็นโรคไบโพลาร์ หรือ Bipolar Disorder เป็นโรคที่ผู้ป่วยมีความผิดปกติของอารมณ์เด่นชัด เพื่อหายาที่ ผกก.โจ้ใช้รักษาตัวนำมาประกอบในสำนวนการสอบสวน ผลการตรวจพบยา Clonazepam เป็นยาคลายเส้นประสาท คลายเครียด ช่วยให้นอนหลับ ยา Propranolol เม็ดสีชมพู เป็นยาขยายหลอดเลือดช่วยเรื่องใจสั่น ลดความดัน และยา Dymista เป็นยาพ่นจมูกรักษาภูมิแพ้ ไม่เกี่ยวกับยาที่ใช้รักษาอาการโรคไบโพลาร์แต่อย่างใด

ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 (จังหวัดพิษณุโลก) พนักงานสอบสวนตามคำสั่ง ตร. ยื่นคำร้องขอโอนการฝากขัง พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนพล หรือผู้กำกับโจ้ พร้อมพวกรวม 7 คน ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย ร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจ หรือผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมสิ่งนั้น

เดิมครั้งแรกยื่นฝากขังผู้ต้องหาทั้งหมดต่อศาล จังหวัดนครสวรรค์ ที่ดำเนินการแทนศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 ศาลอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหานัดแรกมีกำหนด 12 วัน แต่เนื่องจากคดีดังกล่าวผู้ต้องหาเป็นตำรวจในสังกัด สภ.เมืองนครสวรรค์ ท้องที่เกิดเหตุ และเป็นกรณีตำรวจถูกตั้งข้อกล่าวหาว่ากระทำผิดอาญา มีพฤติกรรมกระทำผิดร้ายแรงเป็นคดีอุกฉกรรจ์ สะเทือนขวัญ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจเป็นอย่างมาก สร้างความเสื่อมเสียต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกทั้งยังเป็นคดีที่ได้รับความสนใจจากประชาชนและสื่อมวลชนเป็นอย่างมาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนให้สืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าว และให้โอนสำนวนการสอบสวนจาก สภ.เมืองนครสวรรค์ ไปสอบสวนยังกองบังคับการปราบปรามตั้งอยู่ในเขตอำนาจของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง

ดังนั้น เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีที่อยู่ในเขตอำนาจศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติชอบภาค 6 คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนขอโอนการฝากขังผู้ต้องหาที่ 1-7 จากศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 ไปฝากขังยังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง และขอโอนการขังผู้ต้องหาระหว่างสอบสวนจากเรือนจำกลางพิษณุโลก ไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เพื่อสะดวกในการสอบสวนและดำเนินการตามกฎหมายศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้โอนการฝากขังผู้ต้องหาตามคำร้อง