เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

จากกรณี พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต พระนักเทศน์ชื่อดัง ร่ำไห้กลางเฟซบุ๊กไลฟ์  ด้านทวิตเตอร์ปั่นแฮชแท็ก #Saveพระมหาสมปอง 

ล่าสุด 12 ต.ค. นายภัทร เหมสุข นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว “Pat Hemasuk” ระบุถึงความหมายของคำว่า “สมณะ” ซึ่งเป็นคำเรียกพระสงฆ์ได้เช่นกัน โดยได้ระบุข้อความว่า

“สมณะ หรือ श्रमण ศฺรมณ แปลว่า ผู้สงบ, ผู้ระงับจากบาป ซึ่งเป็นคำเรียกพระสงฆ์ได้เช่นกัน ถ้าพระสงฆ์รูปนั้นหลุดพ้นจากการเป็น “สมมติสงฆ์” เข้าสู่การเป็น “อริยสงฆ์” โดยสมบูรณ์ คำว่าอริยะนั้นแปลว่า เจริญ, ประเสริฐ จะใช้เรียกพระสงฆ์ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนว่า อริยสงฆ์ นั่นคือพระสงฆ์ผู้เจริญ พระสงฆ์ที่หลุดพ้นการเป็น สมมติสงฆ์ แล้วโดยสมบูรณ์

คำว่า “สมณะ” ไม่ใช่ลูกชาวบ้านโกนหัวนุ่งห่มผ้าสามชิ้นแล้วจะเป็นสมณะได้ทุกคน แต่เป็นเพียงสมมติสงฆ์ คือให้ถือว่าเป็นพระสงฆ์ได้เท่านั้น คำว่า “สมมติ” แปลว่า มีความเห็นที่เสมอกันหรือความเห็นที่พ้องตรงกัน ดังนั้นสมมติสงฆ์จึงเป็นการยอมรับในสังคมให้ถือว่าคนผู้นั้นเป็นพระได้ เป็นผู้ที่นุ่งห่มจีวร โกนผม ออกไปบิณฑบาตได้ โดยสังคมยอมรับว่าผู้นั้นคือ ภิกขุ หรือผู้ดำรงชีวิตได้ด้วยการขอ เป็นผู้ขอจากผู้อื่นในการดำรงชีพ ที่ไม่ใช่ขอทานโดยทั่วไป

สมมติสงฆ์ ก็ยังไม่ใช่พระสงฆ์ ที่เป็นหนึ่งในความหมายของพระรัตนตรัยโดยตรงโดยแท้ มีแต่อริยสงฆ์ผู้พ้นจากความวุ่นวายทางโลก ผู้สงบ ผู้ระงับจากบาป แล้วเท่านั้นถึงจะถือว่าเป็นหนึ่งในพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เวลาผมจะกราบพระสามครั้ง ครั้งสุดท้ายที่กราบพระสงฆ์นั้น ผมจะกล่าวคำว่าอริยสงฆ์ทุกครั้ง นั่นหมายความว่าผมกราบเฉพาะอริยสงฆ์ที่เป็นหนึ่งในพระรัตนตรัย ไม่ใช่กราบรวมไปถึงลูกชาวบ้านที่ยังไม่พิสูจน์ตัวเองว่าเป็น ผู้เจริญ, ผู้สงบ, ผู้ระงับจากบาป ตัวจริง

พระพุทธเจ้าทรงฝากธรรมของพระองค์เอาไว้กับพุทธบริษัท 4 ให้ดำรงธรรมะของพระองค์เอาไว้จนสิ้นพุทธกาล นั่นคือ อุบาสก อุบาสิกา ก็ต้องช่วยกันทำให้ศาสนาดำรงอยู่ได้ ถึงแม้สมมติสงฆ์จะไม่ใช่หนึ่งในพระรัตนตรัยโดยแท้จริงก็ตาม แต่สมมติสงฆ์นั้นต้องเป็นผู้นำทางจริยธรรมให้แก่สังคม มีสัมมาทิฏฐิ มีความประพฤติชอบ ดำริชอบ เดินนำอุบาสก อุบาสิกา ให้พ้นจากเส้นทางอบาย หรือทางที่ปราศจากความเจริญ เส้นทางสู่ความฉิบหาย ไม่ใช่มาเล่นตลกออนไลน์หรือมาร้องไห้อ้อนญาติโยมเวลาตัวเองเดือดร้อนจากการทำเรื่องสิ้นคิด

สำหรับผู้ที่เป็นสมมติสงฆ์ที่ปราศจากคุณสมบัติเหล่านี้ ให้ถือว่าเป็นเพียงแต่ “อัญญเดียรถีย์” ที่แอบมาสวมจีวรพระสงฆ์เพื่อเลี้ยงชีพตนเองเท่านั้น”

ข่าวที่เกี่ยวข้อง