เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

พระมหาไพรวัลย์ ตอบกลับ ศรีสุวรรณอย่างแรง!! ด้วยคำว่า…?

 

เอาแล้วงานนี้บอกเลยว่าเดือดยิ่งกว่าเดือด จากกรณีนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย โพสต์ข้อความ แสดงความเห็นทางกฎหมายเกี่ยวกับทรัพย์สินของพระสงฆ์ ว่า ทรัพย์สินจะต้องตกเป็นของวัดเมื่อพระรูปนั้นลาสิกขาไปก่อนหน้านี้นั้น

 

 

ล่าสุด พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ ได้โพสต์ข้อความตอบโต้นายศรีสุวรรณ โดยระบุข้อความว่า

ลุงศรีแกจะโง่แล้วขยัน หรือโง่แล้วอวดฉลาดคนเดียว อาตมาไม่มีปัญหานะ แต่ทำไมช่อง*** ต้องพลอยโง่ พลอยบ้าจี้ตามลุงแกด้วย แล้วสื่อแบบนี้หรอ ที่สังคมจะฝากความประเทืองทางปัญญาอะไรด้วยได้
(ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1623 )
มาตรา 1623 ทรัพย์สินของพระภิกษุที่ได้มาในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศนั้น เมื่อพระภิกษุนั้นถึงแก่มรณภาพให้ตกเป็นสมบัติของวัดที่เป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุนั้น เว้นไว้แต่พระภิกษุนั้นจะได้จำหน่ายไปในระหว่างชีวิตหรือโดยพินัยกรรม
ปล. เรียนกฎหมายมาเพื่อที่จะโง่ขนาดนี้ เสียเวลาเรียนเพื่ออะไร
เรียกได้ว่างานนี้ก็ออกมาแสดงความคิดเห็นเป็นอย่างมาก ก่อนที่พระมหาไพรวัลย์ จะโพสต์คอมเมนต์ระบุข้อความว่า “กูยังไม่ตาย สภาพพพ”, “สึกเมื่อไหร่ ถ้าพูดจาส่งเดชอีก อาตมาจะเป็นฝ่ายฟ้องลุงบ้างล่ะนะ”, “แก่กะโหลกกะลา”, “ในกรณีมีหนี้สินในขณะบวชพระ ทางวัดต้องรับผิดชอบแทนด้วยไหม”
ขณะที่จ่าพิชิต ชจัดพาลชน เจ้าของเพจ Drama-Addict ได้เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นด้วยโดยยกข้อกฎหมายมาอ้างอิง ระบุว่า จะต้องยกทรัพย์สินให้วัดก็ต่อเมื่อพระสงฆ์มรณภาพ และไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ แต่กรณีสึกแล้ว ทรัพย์ส่วนตัวก็ยังคงเป็นทรัพย์ส่วนตัวของอดีตพระภิกษุ

ข่าวที่เกี่ยวเนื่อง

เปิดแชทลับ?! นักข่าวสำนักข่าวชื่อดังโผล่ขอโทษ ” พระมหาไพรวัลย์ “

ทั้งนี้ ข้อความของนายศรีสุวรรณ ในโพสต์ต้นทางระบุว่า

ทรัพย์สินที่พระภิกษุได้มาระหว่างเป็นพระภิกษุนั้น เป็นทรัพย์สินที่ศรัทธาญาติโยม ได้ถวายไว้แก่พระภิกษุ ในฐานะผู้สืบทอดพระพุทธศาสนา ทรัพย์สินเหล่านั้น มิได้ถวายเป็นของส่วนตัวของพระภิกษุนั้น แต่ได้ถวายแด่พระภิกษุในฐานะเป็นตัวแทนพระพุทธศาสนา ดังนั้น จึงถือว่าทรัพย์สินเหล่านั้นมิใช่ของพระภิกษุ แต่เป็นของวัด เมื่อพระภิกษุรูปนั้นมรณภาพลงไป ทรัพย์สินเหล่านั้นจึงตกเป็นของวัด ญาติพี่น้องจะเอาไปไม่ได้ ยกเว้นไว้แต่ทรัพย์สินนั้น ที่ได้มาก่อนอุปสมบทเป็นพระภิกษุ และมีการจำหน่ายทรัพย์สินระหว่างยังมีชีวิตอยู่หรือทำพินัยกรรมไว้ ซึ่งได้บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๒๓” ทรัพย์สินของพระภิกษุที่ได้มาในระหว่างเวลาอยู่ในสมณเพศนั้น เมื่อพระภิกษุนั้นถึงแก่มรณภาพให้ตกเป็นสมบัติของวัดที่เป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุนั้น เว้นไว้แต่พระภิกษุนั้นจะได้จำหน่ายไปในระหว่างมีชีวิตหรือโดยพินัยกรรม “ และได้บัญญัติไว้ใน มาตรา ๑๖๒๔ “ ทรัพย์สินใดเป็นของบุคคลก่อนอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ทรัพย์สินนั้นหาตกเป็นสมบัติของวัดไม่ และให้เป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมของบุคคลนั้น หรือบุคคลนั้นจะจำหน่ายโดยประการใดตามกฎหมายก็ได้ “

เมื่อวิเคราะห์ตามมาตรา ๑๖๒๓ แล้ว ในเบื้องต้นอาจทำให้เข้าใจผิดได้ว่า ทรัพย์สินที่พระภิกษุได้มาในระหว่างอยู่ในสมณพศเป็นกรรมสิทธิ์ของพระภิกษุรูปนั้น ฉะนั้น ท่านจึงสามารถจำหน่ายไปในระหว่างมีชีวิตหรือโดยพินัยกรรมก็ได้ แต่หากพิจารณาถึงที่มาและเจตนารมณ์ของบทบัญญัติให้ถ่องแท้แล้ว จะเห็นว่าหาเป็นดังเช่นที่กล่าวมาข้างต้นไม่ กล่าวคือ มาตรา ๑๖๒๓ นี้มีที่มาจากกฎหมายลักษณะมรดก บทที่ ๓๖ ซึ่งตราไว้ว่า

“มาตราหนึ่ง ภิกษุจุติจากอาตมภาพและคฤหัสถ์จะปันเอาทรัพย์มรดกนั้นมิได้เหตุว่าเขาเจตนาทำบุญให้แก่เจ้าภิกษุเป็นของอยู่ในอารามท่านแล้ว ถ้าเจ้าภิกษุอุทิศไว้ให้ทานแก่คฤหัสถ์ ๆ จึ่งรับทานท่านได้ “

ข้อยกเว้นที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๖๒๓ว่า “ทรัพย์สินของพระภิกษุจะตกเป็นของวัดต่อเมื่อท่านมิได้จำหน่ายไปในระหว่างชีวิต หรือโดยพินัยกรรม ข้อนี้เป็นไปตามพระธรรมวินัย ซึ่งผู้ทรงศีลเป็นพระภิกษุจะพึงบำเพ็ญจาคะ ทำบุญให้ทานแก่คนอื่น กฎหมายจึงได้บัญญัติยกเว้นไว้ให้ท่านจำหน่ายทรัพย์สินได้ ทั้งในระหว่างชีวิตและโดยพินัยกรรม ทรัพย์ใดที่ท่านได้จำหน่ายไปแล้วเช่นนี้ ย่อมไม่ตกเป็นสมบัติของวัด ประเพณีในทางปฏิบัติของพระภิกษุที่เคร่งในพระธรรมวินัย เมื่อได้จตุปัจจัยมาเป็นจำนวนมากน้อยเท่าใด ท่านมักจะจับสลากแจกจ่ายไปในบรรดาสามเณรและศิษย์วัด ไม่เก็บสะสมไว้ แม้ท่านจะทำพินัยกรรมจำหน่ายทรัพย์เมื่อท่านมรณภาพ ก็อยู่ในหลักการของการบำเพ็ญจาคะอยู่นั่นเอง ทางวัดจะโต้แย้งเอาเป็นสมบัติของวัดไม่ได้”

เมื่อพิจารณาดูถึงที่มาของมาตรา ๑๖๒๓ ประกอบกับวัตถุประสงค์แล้วจะเห็นว่าทรัพย์สินที่มีผู้ให้แก่พระภิกษุในขณะอยู่ในสมณเพศนั้นกฎหมายถือว่าเป็นของที่ให้เพื่อทำบุญในพระพุทธศาสนา ไม่ได้ให้แก่พระภิกษุเป็นการส่วนตัว เพราะถ้าไม่ใช่เป็นพระภิกษุ ก็จะไม่มีคนทำบุญให้ หรือดังที่มีผู้ตั้งคำถามว่า “ถ้าไม่บวชจะได้มาหรือ”