เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการจับจ่ายสินค้าจำเป็นในการดำรงชีวิตประจำวันของประชาชนในตลาดท่ากลาง เทศบาลนครตรัง พบว่า ผู้คนเริ่มบางตาลง ซึ่งคงเป็นเพราะปัญหาค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ผลกระทบจากสถานการณ์โควิดยังมีอยู่ และราคายางพาราก็ตกต่ำเหลือกิโลกรัมละ 46-48 บาท ทำให้ประชาชนชาวตรังส่วนใหญ่ขาดกำลังซื้อ ส่วนที่ซื้อก็จะซื้อแต่เฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น รวมทั้งอาหาร

จากการสำรวจราคาไก่ กุ้ง หอย ปู ปลา ที่ใช้ปรุงอาหารแทนหมู หลังจากที่ราคาหมูหน้าฟาร์มยังพุ่งสูงขึ้น ก็พบว่าราคาไก่และปลา ก็มีการปรับขึ้นเกือบทุกวันเช่นเดียวกัน

นางวิศาสตร์ คงวัฒนานนท์ เจ้าของแผงไก่ป้าดาไก่สด กล่าวว่า ไก่สดขณะนี้มีการปรับราคาสูงขึ้นสัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยปรับขึ้นครั้งละ 2-3 บาท ปรับไล่ขึ้นตามราคาหมู จากเดิมไก่สดกิโลกรัมละ 47 บาท ตอนนี้ปรับขึ้นมาอยู่ที่กิโลกรัมละ 60 บาท หรือขึ้นมาแล้ว 13 บาท ในระยะเวลา 1 เดือน ซึ่งตนเองนำมาขายที่กิโลกรัมละ 65 บาท เอากำไรเพียง 5 บาท หรือเอากำไรเพียงน้อยๆ เพื่อให้ลูกค้าได้ซื้อ และสงสารลูกค้า เพราะทุกคนก็เดือดร้อนจากราคาหมู และสินค้าอื่นๆ ที่แพงขึ้นทุกอย่าง โดยคนขายขณะนี้ก็ไม่ได้กำไร ขอแค่พออยู่ได้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือกันไปก่อน เมื่อสอบถามกับเจ้าของฟาร์มไก่ว่า ทำไมแพงขึ้น ได้รับคำตอบว่า เกิดจากอุบัติเหตุระหว่างการขนส่งลูกไก่ประมาณนับล้านตัว ทำให้ไก่หายไปจากระบบจำนวนมาก ราคาไก่จึงต้องปรับตัวสูงขึ้น เพราะของมีน้อย จึงทำให้พ่อค้าแม่ค้าและประชาชนผู้บริโภคเดือดร้อน

เช่นเดียวกับแผงอื่นๆ ราคาไก่สดจะอยู่ประมาณกิโลกรัมละ 65-68 บาท และจำเป็นต้องปรับราคาขึ้นต่อเนื่อง โดยนายอาซิม ตัดสายชล เจ้าของแผงไก่บังซิมไก่สด กล่าวว่า ตอนนี้ราคาสินค้าปรับขึ้นทุกวัน ปรับขึ้นแล้วไม่ลง และปรับขึ้นครั้งละหลายบาท โดยราคาหมู ไก่ ที่ปรับขึ้น อยากให้รัฐบาลไปตรวจสอบกับบริษัทผู้ค้าอาหาร ว่าขึ้นราคาเอาตามอำเภอใจ หรือขึ้นตามสภาพความเป็นจริง ในขณะที่ราคายางกลับลดลงเรื่อยๆ ทำให้กำลังซื้อของประชาชนไม่มี ชาวบ้านจะตายกันหมด เพราะไม่ช่องทางการต่อสู้ ดังนั้นรัฐบาลควรจะช่วยให้ราคายางปรับขึ้น ให้เหมือนกับราคาสินค้า หรือค่าครองชีพอื่นๆ เพื่อให้ทุกคนอยู่ได้

ส่วน นางสุนิสา ศรีกระจ่าง และนายมานพ ศรีกระจ่าง เจ้าของเขียงหมูสดเจ๊สุ กล่าวว่า ล่าสุดราคาหมูหน้าฟาร์มที่ตนสั่งซื้อมาได้ปรับราคาขึ้นอีกกิโลกรัมละ 5 บาท เป็นกิโลกรัมละ 106 บาท ซึ่งเป็นการปรับขึ้นราคากลางวันพระ ทั้งที่ปกติจะปรับราคาขึ้นในช่วงทุกๆ วันพระ ทำให้ตนเองเดือดร้อน โดยปกติจะขายวันละ 5 ตัว แต่ตอนนี้เหลือวันละ 3 ตัว หายไป 2 ตัว เพราะขายยากมาก คนซื้อลดลง ทั้งที่แผงของตนเองจะขายถูกที่สุดแล้ว ส่วนตัวมองว่าเป็นการฉวยโอกาสปรับราคาขึ้น อยากหน่วยงานรัฐเข้าไปตรวจสอบอย่างจริงจังว่า การปรับราคาขึ้นเกือบทุกวันของหมูนั้นสมเหตุสมผลหรือไม่ เป็นการค้ากำไรเกินควร ฉวยโอกาสกับผู้บริโภค หรือมีการฮั้วกันด้านราคาหรือไม่ ถึงแม้ตนเองจะเข้าใจว่าหมูขาดตลาดจริง แต่ในการจำหน่ายนั้น แพงเกินจริงหรือไม่ เช่น หมูราคา 8,000 บาท แต่มาขาย 10,000 บาท หรือราคาอาหารปรับขึ้นตามความเป็นจริงหรือไม่

ทางด้านประชาชนชาวตรังที่มาซื้อสินค้าในตลาดสด ก็บอกว่า ขณะนี้เลิกกินหมูสักพักแล้ว เพราะแพงเกินไป หันมาซื้อไก่ ซื้อปลาแทน แม้ราคาจะเพิ่มขึ้น แต่ยังถูกกว่าหมู อย่างไรก็ตาม ล่าสุดราคา กุ้ง หอย ปู ปลาบางชนิด ก็ปรับขึ้นมาต่อเนื่องในระยะเวลา 2 เดือน เช่น ปลากะพง ปรับขึ้นมาแล้วประมาณ 20 บาทต่อกิโลกรัม จึงทำให้ประชาชนเดือดร้อนหนัก เพราะหันไปซื้อสินค้าอะไร ก็แพงทั้งสิ้น ขณะที่เงินในกระเป๋าไม่มี