เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

อัปเดตอาการป่วยย
หมอหนุ่มเจ้าของเพจสู้ดิวะ โพสต์อัปเดตอาการป่วยเป็น “โรคมะเร็งปอดระยะที่ 4 เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นมากก้อนใหญ่ที่ปอดขวาเล็กลง ก้อนเล็กที่ปอดซ้ายหายไปหมด พอเข้าใกล้ความตาย ได้เรียนรู้ว่าความสงบคือความสุข

“ หมอกฤตไท “ หมอหนุ่มป่วยมะเร็งปอดระยะที่ 4 โพสต์สวัสดีปีใหม่ ชาวแฟนเพจ พร้อมอัปเดตอาการป่วยโดยระบุว่า

หมอหนุ่มป่วยมะเร็งปอด นพ.กฤตไท ธนสมบัติกุล โพสต์สวัสดีปีใหม่ พร้อมเปิดเผยความคืบหน้าหลังเข้ารักษาโรคมะเร็งปอดระยะที่ 4 โดยข้อความตอนหนึ่งระบุว่า 3 เดือนแล้ว หลังจากถูกวินิจฉัยเป็นมะเร็งปอดระยะ 4 เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตได้เป็นชีวิตที่สุดเลย ทั้งที่ก่อนหน้านี้คิดว่าตัวเองใช้ชีวิตได้ดีแล้ว แต่พอป่วยนี่ สามารถตัดสินใจเลือกอะไรในชีวิตได้ดีขึ้นเยอะเลย เหมือนได้ปลดล็อกตรรกะการคิดใหม่

เมื่อ 3 เดือนก่อน ผมไม่กล้าคิดถึงช่วงเวลาที่อากาศเย็น มีต้นคริสมาสต์ที่ประดับไฟ ผู้คนออกมาแต่งตัวสีเขียวแดง และแลกของขวัญกัน รวมถึงการที่จะได้มาสวัสดีปีใหม่ทุกคนเช่นนี้ ชีวิตผมสั้นมาก หมายถึงว่า ผมมองชีวิตตัวเองเป็นเกมชีวิตสั้นๆ เล่นรอบละ 3 สัปดาห์ เริ่มที่ไปนอนโรงพยาบาลเพื่อรับยาเคมีบำบัดและยากระตุ้นภูมิ พอได้ยาแล้วก็รับมือกับผลข้างเคียง ระวังไม่ให้ติดเชื้อหรือมีอะไรแทรกซ้อน หลังจากอาการนิ่งก็เตรียมร่างกายเพื่อรับยาครั้งต่อไปในอีก 3 สัปดาห์ต่อไป ไม่ได้วางแผนอะไรที่เกินเดือนเลย เพราะมันไม่มีอะไรแน่นอนเลย ลองคิดภาพว่าตื่นมาแล้วต้องลองขยับแขนขา ลองถูมือดูว่าชาไหม และลองลืมตามาเช็กว่าตัวเองยังมองเห็นดีอยู่นะ ผมคงไม่กล้าคิดถึงงานปีใหม่หรืองานวันเกิดตัวเอง

ชีวิตในแต่ละวันของผมจึงช้าลง แต่ก็ละเอียดขึ้นมากเช่นกัน เพราะต้องสังเกตทุกอาการที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ต้องลงรายละเอียดกับการเลือกอาหาร เลือกน้ำ การออกกำลังกาย กินยา และจัดการกับสิ่งแวดล้อมให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ อย่างน้ำประปาที่เคยใช้ตามปกติ พอมากรองดูก็เพิ่งรู้ว่ามันสกปรก และอากาศทีเหมือนจะเป็นสิ่งจำเป็นแรกสุดของมนุษย์ ล่าสุดก็ต้องติดเครื่องแรงดันบวกเพื่อดันอากาศที่สกปรกออกจากห้อง เราอยู่ในยุคสมัยที่ต้องซื้ออากาศสะอาดหายใจแล้วจริงๆ

แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือการจัดการกับสภาพจิตใจ เพราะสิ่งที่มากระแทกชีวิตผมตอนนี้มันแรงมากพอที่ผมจะต้องลงทุนเพื่อพัฒนาสุขภาพจิตตัวเองแล้ว ผมมีเวลาและเหตุผลให้กับตัวเองมากพอ ที่จะทุ่มเทกับการศึกษาศาสตร์ของจิตใจ ทั้งทางศาสนา และทางจิตวิทยา

ที่ผ่านมาผมเองก็เหมือนวัยรุ่น productive วัยใกล้ 30 ปีทั่วไป เรื่องศาสนา เรื่องจิตใจ ความสงบ การจัดการกับความคิด อารมณ์ความรู้สึกตัวเอง ดูเป็นสิ่งที่เป็นความเชื่อ ไม่มีหลักการ และไกลตัวมากๆ เมื่อเทียบกับ งาน เงิน สิ่งของ ชื่อเสียง ที่ต้องไขว่คว้าในแต่ละวัน ในช่วงที่ป่วยนี้ ผมเจอกับโจทย์ชีวิตใหม่ ซึ่งหนังสือก็ยังคงเป็นทางออกแรกๆ ที่เลือกจะมองหา แต่การเดินเข้าไปในร้านหนังสือชื่อดัง ไม่มีหนังสือที่สามารถตอบคำถามในชีวิตผมในตอนนี้ได้เลย ผมไม่เห็นว่าการมีทักษะการลงทุน การเริ่มทำธุรกิจ ความเป็นผู้นำ เป็นยอดนักขาย เป็นคนเก่งที่คุยเป็น เคล็ดลับจากมหาลัยดัง วิถีการคิดการทำงานของอัจฉริยะ หรือวิธีที่ผมจะอยู่รอดในยุค AI จะทำให้ผมลดความกังวล หรือทำให้ผมมีความสุขในสถานการณ์ที่ผมกำลังจ้องหน้ากับความตายแบบนี้ได้เลย

ช่วงที่ผ่านมา ผมได้อ่านหนังสือ 2-3 เล่ม ที่ช่วยให้มีมุมมองในการรับมือกับปัญหาเหล่านี้ เรียกว่าเป็นการติดอาวุธให้ตัวเองไปสู้กับตัวเองข้างใน เมื่อก่อนผมเอาแต่ติดอาวุธไปสู้โลกข้างนอก สู้กับ Disruption สู้กับ AI แต่อันนี้เป็นโจทย์อีกแบบหนึ่งเลยที่ไม่ต่างกับทักษะด้านอื่นๆในชีวิต คือถ้าเราไม่ฝึกเราจะทำไม่เป็น แต่ถ้าเราฝึกซ้อมเราจะค่อยๆ ทำได้ดีขึ้น และวันหนึ่งคงจะเชี่ยวชาญในการรับมือกับสภาวะของจิตใจ รับมือกับความตายได้ดีขึ้น

ศาสตร์ทางโลกที่ผมวิ่งตามมาทั้งชีวิตเหมือนพยายามจะบอกว่าเราจะมีชีวิตอยู่ไปตลอด เหมือนกับหลายอย่างในชีวิตมันสามารถกำหนดได้และมั่นคงแน่นอน เราต้องทำอย่างนั้นเพื่อให้ได้อย่างนี้ ต้องสะสมบางสิ่งเพื่อได้บางอย่าง ทำให้เราอยากได้อะไรที่มากขึ้นเรื่อย ต้องเก่งขึ้น ต้องรวยขึ้น แต่ศาสตร์ทางธรรมพยายามจะบอกเราว่า เราต้องตายนะ มันไม่มีอะไรเป็นของเรา และมันไม่มีอะไรแน่นอนเลย เหมือนเราเข้ามาเล่นเกม สวมบทบาทเป็นตัวละครนี้ จะหยิบอะไรมาใส่ มาสะสมมากแค่ไหน สุดท้ายก็ไม่ใช่ของเราอยู่ดี

แล้วจุดพีกของเกมนี้ ที่เราลืมไป หรือพยายามจะไม่มองมันคือ เกมนี้มีเวลาหมด ที่พีกกว่า คือไม่มีใครรู้ว่าจะหมดเมื่อไร อาจเป็นพรุ่งนี้เลยก็ได้ ความจริงที่สุดคือ เราต้องเลิกเล่นเกมนี้ในสักวัน เราคิดว่าชีวิตเป็นของเรา ทุกอย่างที่เรามี ร่างกายนี้เป็นของเรา แต่เมื่อถึงวันนั้น วันที่เราไม่ได้เป็นคนกำหนด เราไม่มีสิทธิอะไรเลยกับไอ้สิ่งที่เราบอกว่าเป็นของเรา และวันนั้นคือ “วันตาย”

มนุษย์ถูกเซ็ตค่าพื้นฐานมาให้กลัวความตาย มีนักจิตวิทยากล่าวว่า ที่มนุษย์เราต้องทำตัวให้ยุ่งไว้ หรือที่ไม่สามารถอยู่นิ่งๆเฉยๆได้ เพราะมนุษย์กลัวที่จะคิดถึงความตาย เขาว่าศาสตร์ทางโลกทั้งหลายก็เป็นไปเพื่อให้เรายุ่งมากพอที่จะไม่ไปคิดถึงความตาย ดังนั้นถ้าเรายอมรับอย่างจริงใจได้ว่า สุดท้ายเราจะตาย และมันอาจเป็นพรุ่งนี้ก็ได้ มันจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนมุมมองต่อชีวิตที่สำคัญมากๆจุดหนึ่ง

“ผมเองก็ไม่ได้ว่าจะทิ้งศาสตร์ทางโลกอะไร นี่ก็ยังเตรียมสอนนักศึกษา วางแผนจะกลับไปทำงานให้ได้เหมือนเดิม ผมก็ยังจ่ายบัตรเครดิต ยังวุ่นวายกับงานเอกสารเพื่อเบิกเงิน กำลังจะออกไปซื้อของขวัญปีใหม่ ผมยังอยากแต่งจักรยาน แต่งงาน และผมยังต้องผ่อนบ้าน กติกาและเงื่อนไขในการเล่นเกมชีวิตนี้ก็ยังเหมือนเดิม แต่ผมเริ่มเล่นมันด้วยสกิลเสริมอีกชุดหนึ่ง ซึ่งทำผมมีความสุขมากขึ้นในเกมนี้ การหันมาอัพสกิลด้านจิตใจนี้ มันช่วยทำให้ชีวิตผมสงบขึ้น นิ่งขึ้น เวลาเจอปัญหาหรือเจอสิ่งที่ไม่เป็นไปอย่างที่เราต้องการ ผมรับมือกับมันได้ดีขึ้น เข้าใจผู้คนและสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติเหล่านี้ได้ดียิ่งขึ้น และผมสามารถสบตากับความตายได้ดีขึ้นนิดนึง ตอนนี้ผมก็ยังทำไม่ได้ ผมยังกลัวตาย แต่ผมเชื่อว่า ถ้าฝึกไปเรื่อยๆ ผมก็น่าจะทำได้ดีขึ้น ผมหวังว่าวันหนึ่งผมจะทำใจได้ว่า ผมรักชีวิตนี้มาก อยากมีชีวิตต่อไปให้นานมากที่สุด แต่ถ้ามันไม่เป็นไปอย่างที่คิด ผมก็โอเคนะ”

ผมว่าผมโชคดีนะ แต่คุณน่าจะโชคดีกว่า ถ้าคุณอายุใกล้ๆกับผม และคุณมีปอดที่ไม่ได้มีก้อนขนาดเท่ากำปั้น รวมถึงสมองคุณก็ไม่ได้มีก้อนกระจายอยู่ในนั้น แล้วคุณได้รับโอกาสเดียวกับผม ในการหันมาพัฒนาจิตใจ และหันมองความจริงที่โคตรจริง ว่า เราต้องตายทุกคน ให้เวลาพิจารณามันอย่างจริงจัง ตกตะกอนชีวิตตัวเองหลังจากที่พิจารณาตัวแปร “ความไม่แน่นอน” และ “ความตายของเรา” เข้าไปแล้ว ผมว่าคุณน่าจะได้สมการชีวิตใหม่ เพื่อเล่นเกมนี้ต่อไปในแบบของคุณ ตราบเท่าที่เวลาคุณยังเหลือ เพราะผมเอง ก็ยังเป็นผู้เล่นในเกมนี้ ผมก็เป็นเพื่อนร่วมทางคนหนึ่งที่กำลังมุ่งหน้าไปที่จุดจบเดียวกัน

หมอกฤตไท ยังทิ้งท้ายไว้ด้วยอีกว่าตอบสนองต่อการรักษาดีมากๆ ก้อนใหญ่ที่ปอดขวาเล็กลง ก้อนเล็กที่ปอดซ้ายก็หายไปหมด ล่าสุดฟิตกว่า 3 เดือนที่แล้วอีก ตอนนี้เหมือนได้ปอดใหม่เลย เดี๋ยวรอดูก้อนในสมองช่วงต้นปีอีกที แต่หวังว่าจะไปในทิศทางเดียวกัน สรุปคือ 3 เดือนนี้ ผมชนะในเกมที่มีโอกาสแพ้มากกว่า และตอนนี้ผมได้เรียนรู้ว่าความสงบคือความสุข ได้เรียนรู้ว่าชีวิตที่เรียบง่ายคือชีวิตที่คุ้มค่า ได้เรียนรู้ว่าชีวิตธรรมดาคือชีวิตที่มีความหมาย

ข่าวอื่น ๆที่น่าสนใจ

การเดินทางกลับภูมิลำเนาช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ประชาชนเริ่มทยอยเดินทาง

สามีขี้ลืมจัด ไปแวะฉี่ข้างทาง แล้วดันลืมเมียไว้ข้างทาง