เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

เปิดเส้นทาง “นิ่ม” คุณแม่วัยใส ก่อนกลายเป็นผู้กระทำความผิดปลิดชีพลูกตัวเอง

กรณี นิ่ม แม่เด็ก 8 เดือน หรือน้องต่อที่หายตัวออกจากบ้านไปกว่า 20 วัน เธอกุเรื่องสารพัดเพื่อให้หลุดพ้นจากคดี แต่สุดท้ายต้องยอมจำนนให้กับความเป็นจริง ยอมรับสารภาพว่าเธอเป็นผู้ปลิดชีพลูกน้อยโดยไม่ตั้งใจ ก่อนจะอำพรางศพโยนทิ้งลงน้ำ

ข้อมูลจากเพจ สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว เขียนโพสต์เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้กล่าวถึงกรณีนี้ว่า

“มูลนิธิกระจกเงา เปิดใจ ‘แม่เด็ก 8 เดือน’ ก่อนแม่เด็กรับสารภาพ หวังให้เห็นเส้นทางการมีชีวิตของเด็กหญิงคนหนึ่ง ก่อนมาสู่การเป็นผู้กระทำความผิดในวันนี้ มีรากฐานและเติบโตขึ้นมาจากสิ่งใด

“หนูไม่เคยมีความฝัน ตอนเด็กๆ ไม่เคยคิดฝันว่าอยากเป็นอะไร แค่คิดว่าจะได้ทำงานที่พอเลี้ยงตัวเองได้ ไม่คิดมีความฝันว่าจะเป็นอาชีพอะไร ต้องเป็นหมอ ต้องเป็นพยาบาล หนูไม่เคยคิดไปไกลขนาดนั้น ดูความเป็นอยู่ของที่บ้านหนูสิ หนูคิดว่าหนูไปถึงตรงนั้นไม่ได้”

“หนูไม่มีบ้าน เกิดมาไม่เคยมีบ้านเป็นของตัวเอง อยู่แต่บ้านเช่า และบ้านในบ่อปลา ที่พ่อรับจ้างเฝ้าบ่อ หนูอยู่ในครอบครัวที่ลำบากตั้งแต่เด็กๆ ไม่มีความพร้อมอะไรสักอย่าง สมัยก่อนพ่อทำงานอยู่ในโรงรับซื้อของเก่า บางวันหนูก็ไปช่วยพ่อคัดแยกขวด”

“หนูไม่เคยมีเพื่อนสนิท มีแค่เพื่อนที่รู้จักกัน อาจไปไหนด้วยกันบ้าง แต่ไม่เคยได้รู้เรื่องส่วนตัว ไม่สนิทกันจริงๆ เพราะตอนที่อยู่โรงเรียนไม่ได้มีอะไรได้ทำด้วยกัน”

“ที่โรงเรียน หนูโดนบูลลี่ ทั้งคำพูด และการกระทำ เพื่อนที่โรงเรียนทำเหมือนหนูไม่มีตัวตน เป็นอากาศ หนูก็ต้องอยู่คนเดียว ทำอะไรคนเดียว มันเลยรู้สึกไม่อยากไปโรงเรียน พ่อก็ถามว่าวันนี้ไม่ไปโรงเรียนเหรอ หนูก็ตอบว่าไม่อยากไปแล้ว ลึกๆใจอยากเรียนนะ แล้วผลการเรียนหนูก็ไม่ได้แย่นะ”

“หนูแทบไม่เคยกอดแม่เลย ไม่ได้แสดงความรักต่อกัน ตั้งแต่หนูอยู่ชั้นประถม แม่หูตึง พูดไปเขาก็ไม่ได้ยิน ทำให้พอเราคุยกันไม่รู้เรื่อง ก็ค่อยๆ ห่างกันไป เหมือนไม่สนิทกัน อยู่ด้วยกันในบ้านแต่เราอยู่กันแบบห่างๆ จนแม่ล้มป่วยติดเตียงก็ได้ดูแลแม่มากขึ้น พาไปกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาล”

“หนูรักพ่อนะ มีอะไร ก็มาบอกพ่อ คุยกับพ่อ แต่ไม่ชอบเวลาพ่อกินเหล้าเมาแล้วโวยวาย หนูเห็นพ่อทะเลาะกับแม่ตลอด มันบ่อยมาก เห็นตั้งแต่เด็กๆ หนูไม่ชอบเลย ตอนเล็กๆ หนูนั่งร้องไห้ พยายามขอร้องให้พ่อหยุด แต่เขาก็ไม่หยุด”

“หนูร้องไห้บ่อยมาก จะหยุดก็ตอนเขาเลิกทะเลาะกัน พอหนูโตขึ้น ความรู้สึกมันก็ชาชิน ชินแต่เจ็บปวด ยายบอกว่า ปล่อยเลย มึงไม่ต้องไปสนใจว่าเขาจะทะเลาะ เดี๋ยวเขาก็หยุดกันเอง แต่ในใจหนูมันก็ยังร้องอยู่ จากหยุดร้องไห้กลายเป็นไปด่าพ่อแทน เหมือนเราเริ่มเป็นปากเป็นเสียงให้กับแม่ รู้สึกว่าบ้านหนูไม่มีความสุขเลย”

“ความสุขของหนู มันคือการออกมานอกบ้าน ตั้งแต่มาอยู่กับพุดได้ใช้ชีวิตอยู่เอง ถ้าหนูมีอะไรไม่สบายใจ เขาก็จะพูดให้หนูสบายใจ เหมือนเป็นหลักในชีวิต ที่คุยกันได้ ปรึกษากันได้”

“ตอนคลอดน้องต่อ เจ็บท้องมาก เป็นความเจ็บที่สุดในชีวิต ไม่ได้ตั้งใจว่าจะมีน้อง แต่หลุดมา รู้ตัวว่ามีลูกตอนท้องได้เดือนนึง พอรู้ หนูตั้งใจเก็บไว้ คิดว่ามีก็มี ไม่เคยคิดว่าจะเอาเขาออก เราไม่มีเงินเก็บสำหรับคลอดลูกเลย เราไม่มีอะไรเลยจริงๆ มีแต่ของที่คนอื่นให้มา ตอนที่ออกจากโรงพยาบาลหนูก็ยังไม่มีอะไรเลย”

“ถามว่า ถ้ากลับไปแก้ไขอดีตได้ จริงๆมันก็แก้อะไรไม่ได้แล้ว วันนี้เป็นวันที่หนูรู้สึกไม่เหลือใคร ไม่เหลือใครจริงๆ”

ทีมงานได้สัมภาษณ์น้อง โดยการขออนุญาตและแจ้งช่องทางเผยแพร่ สัมภาษณ์เมื่อ 23 ก.พ. 2566 เมื่อเรียบเรียงบทความเสร็จในวันรุ่งขึ้น ทีมงานตัดสินใจไม่เผยแพร่ เนื่องจากช่วงเวลานั้นมีกระแสข่าวค่อนข้างรุนแรง เมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาถึงวันนี้แล้ว จึงขอลงบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ เพื่ออยากให้สังคมได้มองเห็นว่า เส้นทางการมีชีวิตของเด็กหญิงคนนึ่งก่อนที่จะมาสู่ผู้กระทำความผิดในวันนี้ มีรากฐานและเติบโตขึ้นมาจากสิ่งใด”

อย่างไรก็ตามฉากหลังอันน่าสลดใจนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่หล่อหลอมให้เด็กคนหนึ่งเติบโตขึ้นมาในสังคมที่ยากต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาในสังคมมากมาย ทั้งเรื่องการเข้าถึงการศึกษา สังคมชนชั้นแรงงาน การท้องไม่พร้อม การค้ามนุษย์ ฯ ทีนี้ก็ขึ้นอยู่ที่ว่าทุกคนในสังคมจะตระหนักถึงปัญหานี้หรือไม่ ผู้ที่มีส่วนที่เกี่ยวข้องจะร่วมมือกันแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร เพื่อให้สังคมไทยลดการเกิดอาชญากรรมจากความไม่รู้ได้

Cr.สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

สุดอาลัย DJ หนุ่มน้อยชื่อดัง เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้…?!

ชนดับ! หญิงสาวขี่จยย.ย้อนศร ถูกรถตู้ชนกระเด็นขึ้นบนทางฟุตบาท