เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

เมื่อเวลา 19.00 น.วันที่ 9 ม.ค.68 ที่สภ.เมืองนนทบุรี นางเอ (นามสมมุติ) อายุ 49 ปี พร้อมสามี ได้พาน.ส.บี (นามสมมุติ) อายุ 21 ปี ลูกสาว เข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนนทบุรี ว่า เมื่อวันที่ 7 ม.ค.68 น.ส.บี ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกว่า ไปพัวพันคดีของนายสามารถ เจนชัยจิตรวณิช ในข้อหาร่วมกันในคดีฟอกเงิน ทำให้ น.ส.บี แอบเอาเงินในบัญชีของครอบครัว โอนให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สูญเงิน 3 แสนกว่าบาท

น.ส.บี กล่าาวว่า ช่วงเย็นวันที่ 7 ม.ค.68 ได้มีโทรศัพท์เบอร์แปลกที่ไม่ได้บันทึกชื่อไว้ โทรเข้ามาแจ้งว่า มาจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ ตนจึงวางสายทันที เพราะคิดว่าเป็นมิจฉาชีพ หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จากนั้นได้มีโทรศัพท์อีกเบอร์ โทรเข้ามาอีกครั้ง และพูดด้วยเสียงแข็งกร้าว ว่าเมื่อกี้สายหลุดหรือตัดสายทิ้ง ด้วยความกลัว ตนจึงบอกไปว่าสายตัดไปเอง ปลายสายจึงแจ้งว่า ตนเข้าไปเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินของนายสามารถ แล้วบอกตนว่า จะโอนสายไปให้คนที่มียศใหญ่เพื่อจะช่วยเหลือตน ให้ไม่ต้องเข้าไปมีรายชื่อเป็นผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว

พร้อมกับบอกว่า ตนเคยไปเปิดบัญชีธนาคารกรุงไทย ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ตนก็ตกใจ เพราะไม่เคยไปเปิดบัญชีที่ จ.สุพรรณบุรี ซึ่งระหว่างที่พูดคุยกัน ตนไม่รู้ว่าตอนนั้นเขาเป็นตำรวจจริงหรือไม่จริง ตนต้องการแสดงความบริสุทธิ์ ว่าไม่ได้เป็นคนทำ เขาถึงต้องการมาสอบสวนตนว่าเป็นมาอย่างไร

น.ส.บี กล่าวต่อว่า จากนั้นได้มีการโทรผ่านแอปพลิเคชั่นไลน์เข้ามา และชี้แจงรายละเอียดคดี แจ้งชื่อ-นามสกุล และเลขคดี แล้วแจ้งว่าเป็นตำรวจยศร้อยโท ก่อนวางสายไป ต่อมาได้มีการโทรกลับมาเป็นวีดีโอคอล เป็นผู้ชายแต่งเครื่องแบบตำรวจ ด้านหลังมีหมวกตำรวจและป้ายกรมสอบสวนคดีพิเศษ หลังจากนั้นได้มีการส่งรูปและเอกสารของนายสามารถ มาให้ เป็นรูปพาดหัวข่าว ตนจึงบอกว่าตนไม่รู้จัก ตำรวจได้บอกว่า นายสามารถ ให้การซัดทอดว่า ตนไปขายบัญชีธนาคารกรุงไทยให้เขา ตนบอกไม่มีเลขบัญชีตามที่บอก จากนั้นให้ตนเอาโทรศัพท์หันไปรอบห้อง ว่ามีใครอยู่หรือไม่ และยังพูดเล่นด้วยว่าสะสมของด้วย ตนคิดว่าเขาคงพูดทำให้ตนสบายใจ ไม่อยากให้ตนเครียดหรือวิตกกังวล

น.ส.บี กล่าวอีกว่า ขณะที่วีดีโอคอล ตนก็พยายามจะจับพิรุธว่าตำรวจเป็น AI หรือเปล่า เพราะตอนนี้ AI ทำเหมือนมาก แต่เห็นว่าลักษณะท่าทางและการขยับร่างกาย ตรงกันกับเสียงที่พูดคุยตรงกัน

หลังจากคุยแล้ว ชายที่อ้างตัวเป็นตำรวจได้ถามว่ามีเงินและทรัพย์สินอะไรบ้าง ให้แจ้งมาทั้งหมด ตนบอกว่ามีเงินในบัญชีอยู่ประมาณ 1,500 บาท และมีเงินสดอีก 7,000 บาท ก่อนเขาจะเริ่มให้โอนเงินไปให้เพื่อทำการตรวจสอบ ตนบอกว่ามีเงินอยู่แค่นี้ เขาบอกให้ไปเอาเงินของพ่อแม่โอนมาตรวจสอบด้วย โดยพูดข่มขู่ต่างๆ นาๆ ว่า หากไม่หาเงินโอนมา พ่อกับแม่จะถูกดำเนินคดี ด้วยความกลัวตนเลยไปขอยืมโทรศัพท์ของพ่อมา แล้วโอนเงินจากแอปธนาคารขอพ่อ จำนวน 21,000 บาท มาที่บัญชีของตน จากนั้นบัญชีของพ่อถูกบล็อกโอนเงินไม่ได้ ตนจึงโอนเงินให้ตรวจสอบได้แค่นั้น

ต่อมาตนได้ไปยืมโทรศัพท์ของแม่ โอนเงินจากแอพธนาคารของแม่ มายังบัญชีของตน จำนวน 3 ครั้ง ครั้งละ 49,999 บาท และสแกนหน้าแม่อีก 1 ครั้ง จำนวน 100,000 บาท รวมเป็นเงิน 249,997 บาท ก่อนจะโอนไปให้ตามที่ตำรวจบอก ทั้งหมด

นางเอ แม่ของ น.ส.บี กล่าวว่า เมื่อวันที่ื 7 ม.ค. 68 ตนเลิกงานกลับถึงบ้าน ลูกสาวมาขอยืมโทรศัพท์ตนไป บอกว่าจะไปถ่ายงาน ต้องใช้โทรศัพท์ 2 เครื่อง ตนได้ให้โทรศัพท์ลูกไป จากนั้นลูกเอาเข้าไปในห้องหายไปนาน ตนก็ไม่ได้สงสัย คิดว่าเขาเอาไปถ่ายงานตามปกติ ตนจึงเอาไอแพด มาเล่น

จากนั้นได้มีข้อความเด้งขึ้นมา เป็นการเคลื่อนไหวกับบัญชีธนาคาร มีเงินเข้ามา 30,000 บาท ก็แปลกใจว่าเป็นเงินอะไรเข้ามาได้อย่างไร สักพักลูกก็ถือโทรศัพท์มาหาตน บอกว่า แม่สแกนหน้าหน่อย ตนสงสัยสแกนอะไร ตนก็ไม่ให้สแกน แต่แล้วลูกก็สแกนหน้าไปจนได้ แล้วพ่อเขาก็เดินมาบอกว่าเขาโดนลูกยืมโทรศัพท์ไปเหมือนกัน แล้วแอพธนาคารของพ่อโดนบล็อก ซึ่งตอนนั้นพ่อเขาไม่ทราบว่าเงินได้ถูกเอาออกจากบัญชีไปแล้วหลักหมื่น

จากนั้นตนเห็นว่าเงิน 100,000 บาท ถูกโอนออกไป ตนจึงเดินไปเคาะห้องถามลูกว่า เงินออกไปได้ยังไง โดนคอลเซ็นเตอร์หลอกหรือเปล่า ลูกปิดห้องล็อคไม่ตอบอะไร ตนจึงไปยืนแอบฟัง เหมือนลูกโทรศัพท์คุยกับใครอยู่ และเหมือนว่าคนที่คุยด้วย กำกับให้ลูกทำนั่นทำนี่ ต่อมาพ่อก็ไปเคาะถามว่าเอาเงินไปได้ยังไง ใครมาหลอก ลูกก็ตอบว่าเดี๋ยวจะบอกทุกอย่าง เดี๋ยวหลังเที่ยงคืนแล้วเงินจะกลับคืนมา จะบอกทุกอย่างให้พ่อกับแม่รู้

นางเอ ผู้เป็นแม่กล่าวต่อว่า ต่อมาวันที่ 8 ม.ค.68 ตนไปทำงานและบอกกับยายไว้ว่า อย่าให้หลานออกจากบ้านเด็ดขาด จนกระทั่งลูกได้โทรมาบอกให้ตนเอาทองของยายไปขาย แล้วเอาเงินใส่บัญชีไปให้หน่อย ตนถึงได้รู้ว่าลูกออกจากบ้านไปแล้ว ตนก็พยายามถามว่าอยู่ที่ไหน จะได้เอาทองไปให้กับตัว แต่ลูกก็ไม่บอก

จากนั้น ลูกได้ส่งคลิปมาให้ตนดู เห็นถือมีดคัตเตอร์จี้ที่คอ เพื่อขอให้ตนโอนเงินให้ ตนก็ใจไม่ดี ห่วงลูกเพราะเขามีภาวะซึมเศร้าอยู่แล้ว ตนจึงได้ปรึกษากับตำรวจร้อยเวร ซึ่งทางตำรวจให้ตนใจแข็งไม่ต้องโอนเงินเพิ่มอีก ซึ่งตนเคยเห็นข่าวที่ผ่านมา ว่าถ้าลูกไม่มีเงินก็จะกลับมา ส่วนเงินที่เข้ามา 30,000 บาท ตนมาทราบภายหลังว่าลูกเบิกเงินจากบัตรเครดิตมาใส่บัญชีธนาคารตน เพื่อโอนให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์

สุดท้ายลูกไม่มีเงิน จึงยอมบอกว่ามาเปิดห้องพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านถนนราชพฤกษ์ ตนกับสามีจึงได้ขับรถไปรับ และพาเข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.เมืองนนทบุรี

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หนูน้อยอารมณ์ดี! “น้องสเปซ” หัวเราะชอบใจ เมื่อถูกพ่อเป็กฟัดแก้ม น่ารัก น่ามันเขี้ยวสุดๆ

ดีต่อใจแฟนคลับ 20 ปี “อั้ม-เมย์” เปิดใจถึงกันและกัน