เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

วันที่ 20 ม.ค.68 นางสัมฤทธิ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 66 ปี ผู้พิการตาบอด และ นางทองดี (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 59 ปี สองพี่น้องชาว อ.ห้วยราช จ.บุรีรัมย์ หอบเอกสารหลักฐานและคำพิพากษาศาลที่ชนะคดีตั้งแต่ปี 2557 กอดกันร้องไห้ ขอความช่วยเหลือ นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือทนายอั๋นบุรีรัมย์

หลังจากพ่อแม่เสียชีวิตแล้วพี่ชายคนโต จากจำนวนพี่น้องทั้งหมด 8 คน ได้ฮุบที่ดินมรดกเนื้อที่ประมาณ 17 ไร่เศษ ซึ่งไม่มีเอกสารสิทธิ์ครอบครองทำกินเพียงผู้เดียว ทั้งที่แม่สั่งเสียไว้ก่อนตายให้แบ่งแก่พี่น้องทุกคนเท่ากัน จากนั้นเมื่อปี 2552 น้องชายและน้องสาวจำนวน 5 คน จึงร่วมกันเป็นโจทย์ยื่นฟ้องพี่ชายคนโต ที่ฮุบเอาที่ดินมรดกคนเดียว

ต่อมาปี 2553 ศาลจังหวัดบุรีรัมย์มีคำพิพากษา ให้พี่ชายคนโตซึ่งเป็นจำเลย แบ่งที่ดินแปลงพิพาทดังกล่าวให้แก่น้องทั้ง 5 คน ที่เป็นโจทย์ยื่นฟ้องคนละ 1 ใน 7 ของจำนวนที่ดินที่พิพาท และให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทย์ทั้ง 5 ด้วย ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น แต่จำเลยยังได้ยื่นฎีกาอีกเมื่อปี 2557 แต่ศาลไม่รับฎีกาของจำเลย ถือว่าคดีสิ้นสุด

แต่แม้น้องทั้ง 5 คนจะชนะคดี แต่พี่ชายกลับไม่ได้สนคำพิพากษาศาล ยังไปล้อมรั้ว สร้างที่อยู่อาศัย ขุดสระครอบครองทำกินแต่เพียงผู้เดียว จนน้องชายทยอยเสียชีวิตไปแล้ว 3 คน ก็ยังไม่เคยได้เข้าไปทำกินในที่ดินมรดกที่ชนะคดีเลย ปัจจุบันเหลือน้องสาว 2 คนที่ยังมีชีวิตคนหนึ่งตาบอด อีกคนก็ต้องตระเวนไปรับจ้างหากินไปวันๆ เพราะไม่มีที่ทำกินเป็นของตัวเอง แค่ไปดูพี่ชายก็ขู่ว่าหากใครเข้าไปจะยิงให้ตาย ทุกคนจึงเกิดความกลัว

จากนั้นทนายอั๋น และผู้เสียหาย ก็ได้ลงไปดูพื้นที่พิพาทที่ชนะคดี ซึ่งอยู่ติดถนนในหมู่บ้าน ขณะที่กำลังเดินดูพื้นที่ ก็มีลูกชายของจำเลย ออกมาใช้มือถือถ่ายภาพทนายความ ผู้สื่อข่าว และผู้เสียหาย พร้อมกับอ้างว่าที่ดินแปลงนี้ ตนเป็นคนครอบครองทำกินมากว่า 20 ปีแล้ว ไม่ได้เกี่ยวกับพ่อที่ต่อสู้คดีก่อนหน้านี้ และไม่รับรู้เกี่ยวกับคำพิพากษาศาลเพราะตนครอบครองเองไม่เกี่ยวกับพ่อ เพราะพ่อไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว คนอื่นไม่มีสิทธิมาอ้างสิทธิใดๆ ก็เกิดการโต้เถียงกันเล็กน้อยระหว่างลูกชายจำเลย และโจทย์

ทนายอั๋น กล่าวว่า เท่าที่ลงมาดูคดีนี้ทางผู้เสียหายซึ่งเป็นโจทย์ฟ้องได้ใช้สิทธิ์ทางศาล และศาลก็พิพากษาแล้วว่าให้จำเลยแบ่งที่ดินที่พิพาทคนละ 1 ใน 7 แก่โจทย์ทั้ง 5 คน ซึ่งคดีดังกล่าวสิ้นสุดแล้ว แต่จำเลยที่แพ้คดีไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล เพราะจำเลยยังอ้างสิทธิ์การครอบครองทำประโยชน์ผู้เดียว และยังมีการข่มขู่ห้ามใครเข้าไปในที่ดินจะยิงทิ้ง ทำให้โจทย์ที่ชนะคดีก็ยังไม่สามารถเข้าไปทำกินหรือทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวได้

ก็ได้ยื่นร้องสำนักนายกฯ ให้ช่วยเหลือ ทางสำนักนายกฯ ก็พิจารณาส่งเรื่องมายังอัยการจังหวัดบุรีรัมย์ หาทางช่วยเหลือ ด้วยการนำที่ดินแปลงพิพาทดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการขายทอดตลาด แต่ก็ไม่มีใครกล้าซื้อเพราะจำเลยยังอ้างสิทธิ์และอยู่อาศัยในที่ดินดังกล่าว ปัญหาของเรื่องนี้คือจำเลยไม่ยอมรับและปฏิบัติตามคำพิพากษาศาล และลูกชายของจำเลยยังจะมาอ้างสิทธิขึ้นมาใหม่ว่า ตนครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวมากว่า 20 ปีไม่เกี่ยวกับพ่อ ทำนองจะสู้คดีใหม่เหมือนว่าครอบครองปกปักษ์ ซึ่งความจริงทำไม่ได้เพราะเป็นที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ์หรือกรรมสิทธิ์

ส่วนตัวจึงอยากให้มองถึงเรื่องมนุษยธรรม คืออยากให้เห็นความเป็นคนสายเลือดเดียวกัน หากพูดคุยกันได้ก็อยากตกลงคุยกัน แล้วแบ่งกันตามคำสั่งศาล แต่หากไม่แบ่งเป็นที่ดิน ก็อาจจะเยียวยาดูแลน้องๆ ที่เขาชนะคดีแต่ไม่เคยได้ประโยชน์ใดๆ จากที่ดินมรดกดังกล่าวเลย แต่หากยังดื้อทางผู้เสียหายก็สามารถยื่นฟ้องขับไล่ตามกระบวนการได้