รู้หรือไม่? “สัญญาณไฟจราจร” ทำไมต้องเป็น 3 สีนี้ หลายคนยังสงสัยทำไมถึงไม่เป็นสีอื่นมีเหตุผลอะไรหรือเปล่า?
ข่าวที่น่าสนใจ
-
รู้หรือไม่! “กาแฟ” มีผลกระทบต่อ “ผู้ป่วยเบาหวาน” ด้วย
-
รู้หรือไม่! 5 อาหารที่กินคู่ “กาแฟดำ” ช่วยลดน้ำหนักได้
ทุกคนคุ้นเคยกับสัญญาณไฟจราจรที่มีสีเขียว สีเหลือง และสีแดงกันเป็นอย่างดี แต่หลายคนอาจจะเคยสงสัยว่า ทำไมสัญญาณไฟจราจรต้องเป็นสีเหล่านี้เท่านั้น และทำไมไม่เลือกใช้สีอื่น? ตามหลักวิทยาศาสตร์และจิตวิทยา สีที่ใช้ในสัญญาณไฟจราจรได้รับการคัดเลือกอย่างพิถีพิถันจากการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์และความสามารถในการรับรู้สีของตาโดยเฉพาะ เมื่อพิจารณาถึงการมองเห็นในสภาพแสงต่างๆ สีเขียว สีเหลือง และสีแดงถือว่าเหมาะสมที่สุดในการใช้เพื่อควบคุมการจราจรบนท้องถนน
สีเขียว ใช้สื่อความหมายถึงการ “เดินทางต่อไป” หรือ “ปลอดภัย” เนื่องจากตาของมนุษย์สามารถมองเห็นสีเขียวได้ชัดเจนที่สุดในช่วงแสงธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถรับรู้สัญญาณได้ทันทีเมื่ออยู่บนท้องถนน
สีเหลือง หรือ “สีเหลือง-ส้ม” ที่ใช้เป็นสัญญาณเตือน ให้ความหมายว่า “เตรียมพร้อม” หรือ “ระวัง” โดยเฉพาะในกรณีที่การขับขี่ต้องชะลอความเร็ว สีเหลืองเป็นสีที่ตาของมนุษย์สามารถรับรู้ได้ง่ายในสถานการณ์ที่มีแสงน้อย ทำให้สามารถเตือนผู้ขับขี่ได้ดี
สีแดง เป็นสัญญาณที่สื่อความหมายถึง “หยุด” เพราะสีแดงมีความคมชัดและเด่นชัดที่สุดในที่มืด และสีนี้มีการศึกษาพบว่าเป็นสีที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการหยุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การเลือกสีเหล่านี้ในการออกแบบสัญญาณไฟจราจรจึงไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ แต่มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ช่วยให้การจราจรมีความปลอดภัยและเป็นระเบียบมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ทุกประเทศทั่วโลกต่างใช้ระบบสัญญาณไฟจราจรแบบเดียวกัน โดยให้สีเหล่านี้เป็นมาตรฐานที่เข้าใจและสามารถสื่อสารได้ง่ายในระดับสากล
นอกจากนี้ยังมีการพิจารณาถึงการมองเห็นของผู้คนที่มีปัญหาสายตา เช่น ผู้ที่มีโรคตาบอดสี ซึ่งทำให้การเลือกสีเหล่านี้ยังคงมีประสิทธิภาพในการสื่อสารแม้ในกรณีดังกล่าว จากการออกแบบที่คำนึงถึงประสิทธิภาพในการใช้งานและการรับรู้ของผู้ใช้ทุกคน สัญญาณไฟจราจรสีเขียว สีเหลือง และสีแดงจึงยังคงเป็นมาตรฐานที่ใช้กันทั่วโลกมาจนถึงปัจจุบัน.