การฟ้องร้อง 3 บริษัทมือถือยักษ์ใหญ่ เรียกค่าเสียหาย 2.2 หมื่นล้านบาทของเครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภค จากการคิดค่าบริการปัดเศษวินาทีเป็นนาทีทำให้ผู้บริโภคต้องจ่ายค่าใช้บริการโทรศัพท์แพงกว่าความเป็นจริง ก่อให้เกิดคำถามอีกครั้งว่าการคิดค่าโทรเป็นวินาทีตามจริงนั้นดีต่อผู้ใช้โทรศัพท์จริงหรือ บีบีซีประมวลความคิดเห็นจากทั้งผู้ใช้โทรศัพท์ บริษัทมือถือ และหน่วยงานกำกับดูแล ต่อการคิดค่าบริการตามจริงเป็นวินาที ไม่อยากให้ผู้ประกอบการได้เปรียบ สิ่งที่ “นพรัตน์” (ขอสงวนนามสกุล) ทำแทบทุกครั้งในเวลาโทรศัพท์คุยกับเพื่อน คือ ดูตัวเลขเวลาใช้งานบนหน้าจอโทรศัพท์ แล้วบอกเพื่อนว่าอย่าเพิ่งวางหูเพราะตอนนี้เกินนาทีมา 10 วินาทีแล้ว ให้คุยต่อไปจนใกล้กับ 2 นาทีแล้วจึงค่อยวางสาย
เมื่อถามว่าทำไมต้องทำเช่นนี้ เขาตอบว่าไม่อยากให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์ได้เปรียบเกินไป เพราะระบบปัดเศษวินาทีให้เป็นหนึ่งนาทีตามแพ็คเกจค่าบริการที่เขาจ่ายเป็นรายเดือน
เคยเปลี่ยนบริการเป็นแบบคิดเป็นวินาทีแล้ว แต่ค่าใช้บริการกลับแพงขึ้นจากเดิมที่เคยอยู่ระดับ 800 บาท ก็กลายเป็นพันกว่าบาททั้งที่ใช้งานใกล้เคียงกัน” เขาบอกกับบีบีซีไทยทางโทรศัพท์
เขาว่าเห็นด้วยกับการฟ้องร้องบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์เพื่อให้เกิดเป็นบรรทัดฐานในการคิดค่าบริการที่เป็นธรรมมากขึ้นต่อผู้ใช้
ทางด้าน “โสภณ หนูรัตน์” นักวิชาการด้านกฎหมาย มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งเป็นองค์กรหนึ่งในเครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคที่ฟ้องร้องบริษัทโทรศัพท์ยักษ์ใหญ่ทั้ง 3 แห่ง กล่าวว่า การฟ้องร้องก็เพื่อให้เป็นคดีตัวอย่าง และบรรทัดฐานของการปฏิบัติต่อไป
ก่อนหน้านี้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. มีความพยายามที่จะกำหนดการคิดค่าบริการโทรศัพท์เป็นวินาทีตามจริง โดยใส่ไว้เงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตให้ใช้คลื่น 1800 และ 900 เมกะเฮิรตซ์ สำหรับการให้บริการโทรศัพท์มือถือระบบ 4G เมื่อมีการเปิดประมูลกันในปี 2560 แต่ต่อมา กสทช. ปรับเปลี่ยนให้คิดเป็นวินาทีตามจริงได้ครึ่งหนึ่งของระบบการคิดค่าบริการของบริษัทแต่ละแห่ง “ซึ่งทำให้ผู้บริโภคไม่ได้รับความคุ้มครองเท่าที่ควร” โสภณกล่าว
เขากล่าวว่า การเก็บข้อมูลของเครือข่ายฯ พบว่าในส่วนของการคิดค่าโทรเป็นวินาที มีการนำเสนอค่าบริการที่สูงกว่าการคิดเป็นนาที เหมือนบีบให้ผู้ใช้เลือกใช้แบบคิดเป็นนาที ซึ่งสามารถปัดเศษวินาทีให้เป็นนาที และมีผู้ใช้โทรศัพท์หลายรายคนร้องเรียนมา ทำให้เครือข่ายฯ เห็นว่าไม่เป็นธรรม และเมื่อเก็บข้อมูลได้ มีหลักฐานที่แน่นหนา จึงตัดสินใจฟ้องให้เป็นคดีตัวอย่าง
“โสภณ” ยกตัวอย่างให้เห็นว่าผู้บริโภคถูกเอาเปรียบเพราะไม่สามารถใช้งานโทรศัพท์พูดคุยได้เต็มตามราคาที่จ่ายไป หากคนที่เหมาใช้รายเดือนเดือนละ 200 นาที ในราคา 399 บาท หากโทรเกินนาทีไป 50 ครั้ง อาจจะเป็น 1 วินาที หรือ 50 วินาทีก็จะถูกคิดเป็นหนึ่งนาที เท่ากับเสียไป 50 นาที ซึ่งก็เป็น 1 ใน 4 ของค่าโทรรายเดือน และเมื่อใช้เกินแพ็คเกจ บริษัทก็จะคิดค่าโทรศัพท์ในอัตราที่แพงขึ้นมาก
“ตรงนี้เป็นสิ่งที่เราต้องการแก้ไข เพื่อความเป็นธรรมกับผู้บริโภค” โสภณกล่าว
ทางเครือข่ายฯ ได้ฟ้องในลักษณะเป็น “คดีแบบกลุ่ม” กับทั้ง 3 บริษัท เพื่อให้สามารถเป็นตัวแทนประชาชนทั้งหมดได้ เพราะเปิดกว้างให้ประชาชนที่คิดว่าตัวเองได้รับผลกระทบเข้ามาลงชื่อเป็นโจทก์ได้ และเมื่อชนะคดี เงินที่ได้มาก็จะต้องส่งกลับคืนให้กับผู้ใช้ที่เป็นเจ้าของโทรศัพท์ 90 ล้านหมายเลขซึ่งจดทะเบียนไว้กับบริษัทเหล่านี้
โดยการฟ้องแยกเป็นสองศาลตามที่ตั้งของบริษัท -บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค ฟ้องที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลนัดครั้งแรกในวันที่ 18 มิ.ย. นี้ ขณะที่บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส นั้นฟ้องที่ศาลแพ่งที่ถนนรัชดาภิเษก ซึ่งจะนัดครั้งแรกในวันที 25 มิ.ย. นี้
นักวิชาการเตือนค่าบริการอาจแพงกว่าเดิม
ในขณะที่ “สืบศักดิ์ สืบภักดี” นักวิจัยด้านโทรคมนาคม ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เตือนว่าหากบริษัทผู้ให้บริการแพ้คดี อาจมีผลทำให้มีการกำหนดค่าบริการตายตัวเป็นวินาที อาจทำให้ผู้บริโภคหลายกลุ่มต้องจ่ายแพงขึ้นมาก
“การคิดเป็นวินาที ผู้ที่ได้ประโยชน์ก็คือคนที่โทรครั้งหนึ่งต่ำกว่าหนึ่งนาที และคนกลุ่มนี้มีไม่มากในกลุ่มผู้ใช้ นอกจากนี้ถ้ากฎหมายบังคับใช้คิดค่าโทรเป็นวินาที ผู้ประกอบก็จะไม่สามารถออกแพ็คเกจราคาถูกได้อีกต่อไป เพราะเกรงว่าจะผิดกฎหมาย” สืบศักดิ์กล่าว
การแข่งขันที่ดุเดือดในธุรกิจโทรศัพท์มือถือ ทำให้บริษัทแข่งกันออกแพ็คเกจค่าบริการระหว่างกัน ซึ่งสืบศักดิ์เห็นว่าส่งผลให้ราคาค่าบริการถูกลงมาก โดยเฉลี่ยนั้นถูกกว่าราคาค่าบริการที่ กสทช. กำหนดไว้ว่าคลื่น 4 จี ให้คิดได้สูงสุดได้ไม่เกินนาทีละ 68 สตางค์ ขณะที่ปัจจุบันค่าเฉลี่ยของตลาดจะอยู่ที่ 66 สตางค์ต่อนาที ซึ่งเมื่อทอนลงมาแล้วจะเป็นราคาเฉลี่ย 1.1 สตางค์ต่อวินาที
“ถ้าผมเฉลี่ยใช้บริการ 600 นาทีต่อเดือน ถ้าคิดบนหลักการค่าโทร 1.1 สตางค์ต่อวินาที 600 นาที ผมต้องเสียเงินเกือบ 40,000 บาท แต่ตอนนี้มีแพ็กเกจ 600 นาทีขายในราคาถูกกว่านั้นมากมาย และถ้าแพ้คดี บริษัทอาจต้องกลับไปยึดเพดานสูงสุดที่ กสทช. กำหนด นั่นหมายถึงว่าแพ็คเกจราคาถูกจะหายไป คนที่ได้รับผลกระทบคือผู้บริโภค” สืบศักดิ์กล่าว
เขาเห็นว่าในตลาดควรมีการคิดค่าบริการที่ต่างกันไป เพราะจะทำให้ผู้บริโภคได้เลือกตามพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์ที่มากน้อยต่างกัน และการกำหนดตายตัวเช่นนี้จะไม่จูงใจให้เกิดการแข่งขันเสนอบริการราคาถูกลงในหมู่ผู้ประกอบการ
เรื่องความหลากหลายของบริการที่นำเสนอนี้ ก็เป็นสิ่งที่ผู้ให้บริการไม่ว่าจะเป็น ดีแทค หรือ เอไอเอส เน้นย้ำในแถลงการณ์ซึ่งออกมาหนึ่งวันหลังการแถลงข่าวการฟ้องร้องของเครือข่ายผู้บริโภค โดยกล่าวว่าการคิดค่าโทรศัพท์ทั้งแบบวินาทีและแบบนาทีทำให้บริษัทสามารถนำเสนอบริการที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองกับความต้องการของผู้ใช้ได้ดีกว่า และทั้งสองบริษัทก็ย้ำว่าไม่ได้ละเมิดระเบียบการคิดค่าบริการที่ กสทช. กำหนดแต่อย่างใด
ความเห็นของกสทช.
“นพ. ประวิทย์” ลี่สถาพรวงศา กรรมการ กสทช. ผู้ดูแลทางด้านผู้บริโภค เห็นแย้งกับท่าทีของผู้ประกอบการเนื่องจากเห็นว่าปัจจุบันนี้บริษัทเหล่านี้ได้ประโยชน์จากการปัดเศษวินาทีเป็นหนึ่งนาทีอย่างมาก
“เงินที่ผู้บริโภคจ่ายมาไม่ได้รับบริการเต็มตามจำนวนนั้น อย่างเช่น ซื้อโทร 300-400 นาที ใครโทรไป 100 ครั้ง เจอปัดเศษวินาทีก็กลายเป็น 100 นาทีไปแล้ว คือหายไป 100 นาทีที่แทบไม่ได้ใช้เลย” เขากล่าว