เมื่อด่านชายแดนไทย–กัมพูชาปิดยาวตั้งแต่ปลายมิถุนายน เสียงถอนหายใจจากโรงงานญี่ปุ่นในพนมเปญเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ เพราะการขนส่งที่เคยราบรื่นกลับกลายเป็นฝันร้าย ต้นทุนโลจิสติกส์พุ่งทะลุเพดาน แผนขยายฐานผลิตที่เคยมั่นใจต้องเลื่อนออกไปไม่มีกำหนด — จนหลายฝ่ายในโตเกียวเริ่มพูดกันเบา ๆ ว่า “ถึงเวลาทบทวนเสียทีไหมว่ากัมพูชายังคุ้มอยู่หรือเปล่า?”
ตามข้อมูลของ JETRO บริษัทญี่ปุ่นกว่า 200 แห่งในกัมพูชาถูกกระทบตรงหลังด่านการค้าหลัก 6 แห่งและชั่วคราวอีก 10 แห่งถูกสั่งปิดจากเหตุปะทะชายแดน การค้าทวิภาคีร่วงวูบกว่า 97% ในเดือนกรกฎาคม จากระดับหลายพันล้านบาทเหลือเพียงเศษเงินไม่ถึง 12 ล้านดอลลาร์ ต้นทุนขนส่งจากสระแก้วไปปอยเปตที่เคยราว 1,000 ดอลลาร์ต่อคอนเทนเนอร์ พุ่งขึ้นถึง 3,000 ดอลลาร์ เพราะต้องอ้อมไปเวียดนามหรือขนส่งทางเรือ ใช้เวลายาวถึง 10 วันแทนที่จะเป็น 2–3 วัน
บริษัทใหญ่อย่าง Yazaki, MinebeaMitsumi, Asahi Glass ต้องเลื่อนส่งของและหยุดงานบางส่วน คนงานกัมพูชาในไทยถูกพักมากกว่า 100 ชีวิต ขณะที่ฝ่ายบริหารในโตเกียวเริ่มถกกันเรื่อง “ย้ายกลับไทยหรือไปเวียดนามดีกว่าไหม?” เพราะถ้ายังปิดด่านต่อถึงสิ้นปี กัมพูชาอาจสูญ FDI ญี่ปุ่น 20–30% หรือราว 200 ล้านดอลลาร์ กระทบคนงานกว่า 10,000 คน
Koji Fukuhara ประธานสมาคมธุรกิจญี่ปุ่นในกัมพูชา (JBAC) ถึงขั้นเตือนว่า “กัมพูชากำลังสูญเสน่ห์ทางเศรษฐกิจในสายตานักลงทุนญี่ปุ่น” ส่วน เอกอัครราชทูต Atsushi Ueno ก็เสริมว่า “หากด่านไม่เปิดเร็ว ๆ โมเดล Thailand Plus One อาจต้องตั้งคำถามใหม่”
พูดง่าย ๆ คือ กัมพูชาเคยได้แรงหนุนจากไทยในฐานะฐานผลิตสำรองของญี่ปุ่น แต่วันนี้โมเดลนั้นกำลังกลายเป็น “Thailand Minus One” เพราะไม่มีด่าน ไม่มีเส้นทาง และเริ่มไม่มีความเชื่อมั่น
รัฐบาลพนมเปญพยายามกล่อมใจนักลงทุน โดยรองนายกฯ ซุน จันทอล ออกมารับปากว่าจะเร่งฟื้นเส้นทางการค้า แต่คำสัญญากลับไม่มีเส้นตายที่แน่นอน — ขณะที่โรงงานญี่ปุ่นเริ่มทำบัญชีต้นทุนใหม่อย่างเงียบ ๆ
สำหรับโตเกียว นี่อาจถึงเวลาชั่งใจครั้งสำคัญ ว่าจะยังฝากอนาคตไว้กับประเทศที่ “ปิดด่านได้เพราะปืนลั่น” หรือจะหันกลับมาหาฐานเดิมที่มั่นคงกว่าในไทยและเวียดนาม เพราะในเกมโลจิสติกส์ของอาเซียน ใครช้า…ก็ตกขบวน.