วันนี้ 12 มิ.ย.61 หลังสอบปากคำ นายพิสิฐชัย สว่างวัฒนากร พนักงานสอบสวนคดีพิเศษชำนาญการพิเศษ กองคดีภาษีอากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นานกว่า 3 ชั่วโมง ในกรณีโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่าจะมีการจับกุมดำเนินคดีกับเจ้าอาวาสวัดต่างๆ เกี่ยวกับคดีเงินทอนวัด
พันตำรวจโทกรวัชร์ ปานประภากรณ์ รองอธิบดีดีเอสไอ ระบุว่า หลังสอบปากคำ ตำรวจจะดำเนินคดีนายพิสิฐชัย ในความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ เพียงข้อหาเดียว จากนี้นายพิสิฐชัย จะขอเวลากลับไปทำเอกสารเพื่อประกอบคำให้การกับตำรวจ และจะส่งให้เร็วที่สุด
ด้านนายพิสิฐชัย ยืนยันว่าเป็นผู้โพสต์ข้อความจริง และเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับหน่วยงาน โดยอธิบดีดีเอสไอ มีคำสั่งให้พ้นจากตำแหน่งไปปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งอื่น เพื่อให้สะดวกกับการตรวจสอบและสามารถกำกับดูแลได้อย่างใกล้ชิด
ส่วนกรณีที่ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุทัศน์เทพวรารามให้ข้อมูลว่ามีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ไปขอข้อมูลเอกสารการเงินของวัด เมื่อประมาณ 2 เดือนที่แล้ว พันตำรวจโทกรวัชร์ ระบุว่า ไม่ทราบ และขอกลับไปตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน
พลตำรวจตรีไมตรี ฉิมเฉิด ผู้บังคับการกองปราบปราม เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินการกับวัดต่างๆ ในความผิดคดีเงินทอนวัดล็อตที่ 4 และยืนยันว่าการโพสต์ของนายพิสิฐชัย ไม่ทำให้การดำเนินคดีเงินทอนวัดยากขึ้น ส่วนความสัมพันธ์ของนายพิสิฐชัยกับตำรวจที่ทำคดี ในเรื่องนี้อยู่ในสำนวนคดี ไม่สามารถเปิดเผยได้
จากการตรวจสอบไปยังกองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) ยืนยันว่ายังไม่ได้มีการสอบสวนประเด็นที่เกี่ยวข้องกับวัดทั้ง 4 ส่วนวัดทั้ง 4 แห่งนั้น ได้รับงบอุดหนุนงบอุดหนุนโรงเรียนปริยัติธรรมหรือไม่นั้น ต้องสอบถามสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)
สำหรับความคืบหน้าการติดตามตัวอดีตพระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม ที่ขณะนี้ขอยื่นลี้ภัยที่เยอรมันนี พลตำรวจตรีไมตรี ระบุว่า ต้องไปสอบถามที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ