เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

เวลา 10.30 น. วันที่ 31 ต.ค.  ร.ต.สุพงษ์ มานะจรรยาพงศ์ นายทหารชำนาญการ มทบ.32 ค่ายสุรศักดิ์มนตรี จ.ลำปาง  นำกำลังร่วมกับ พ.ต.อ.จิตตพล วงษ์วัน ผกก.สภ.เขลางค์นคร และเจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุขจ.ลำปาง ร่วมกันเข้าตรวจค้นคลินิกเสริมความงาม ดีไวน์คลินิกเวชกรรม เลขที่ 152/42 โครงการปัญญาปาร์ค  ต.พระบาท อ.เมือง ลำปาง โดยอาศัยอำนาจตามคำสั่งคสช.ที่ 13/2559 ในการเข้าตรวจค้น หลังได้มีสาวประเภทสอง อายุ 22ปี ชาว จ.ลำพูน ได้มาใช้บริการผ่าตัดเสริมทรวงอกกับทางคลีนิกแล้วเสียชีวิต

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่พบว่าที่บริเวณด้านหน้าประตูคลินิกปิด เมื่อตรวจสอบด้านหลังพบน.ส.ทิพาภร รินเชื้อ ผู้จัดการคลินิกและพนักงานอยู่ด้านหลังเจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวและให้นำตรวจค้นภายในคลินิก พบว่าที่ห้องโถงชั้นล่างมีเตียงสำหรับบริการจำนวน3เตียงส่วนชั้นสองพบมีการแบ่งกั้นเป็นห้องมีห้องสำหรับผ่าตัดและเป็นห้องที่ใช้ผ่าตัดเสริมทรวงอก โดยในห้องยังมียาเวชภัณฑ์วางอยู่ตามชั้นต่างๆจำนวนมาก เจ้าหน้าที่จึงได้บันทึกภาพไว้เป็นหลักฐานก่อนนำไปตรวจสอบว่ายาดังกล่าวมีการขึ้นทะเบียนยาตามกฏหมายหรือไม่ขณะตรวจค้นเจ้าหน้าที่ก็ไม่พบตัวน.ส.จันทร์จิรา ธิวงศ์เงิน อายุ 20 ปี เจ้าของคลินิกแต่อย่างใด แล้วยังไม่พบใบอนุญาตใดๆจึงได้เชิญตัวพนักงานจำนวน 10  คนรวม ไปทำการสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อรวบรวมหลักฐานดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องต่อไป

ด้าน นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กล่าวว่า นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดลำพูน (สสจ.) ได้ลงไปตรวจสอบคลินิกที่เกิดเหตุ โดยได้มีการยึดเครื่องมือแพทย์ เอกสารต่างๆ มาประกอบการพิจารณาแล้ว และคาดว่าสสจ.น่าจะสามารถรายงานผลเข้ามาที่สบส.ได้เร็วๆ นี้ ส่วนเจ้าของกิจการนั้นตั้งแต่เกิดเรื่องยังไม่สามารถติดตามตัวได้ โดยก่อนหน้านี้เคยมาขออนุญาตเปิดคลินิกศัลยกรรมจากสบส.เมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา แต่สสจ.ลำพูน ตรวจสอบแล้วว่าคลินิกดังกล่าวยังไม่ได้มาตรฐานทั้งในเรื่องของเครื่องมือแพทย์ และตัวแพทย์ที่จะปฏิบัติงานจึงไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดดำเนินการ เพราะฉะนั้นจึงเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าคลินิกดังกล่าวลอบให้บริการศัลยกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้ประกอบกิจการจะต้องมีโทษจำคุก 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนผู้ที่อยู่ในกระบวนการผ่าตัดนั้นต้องดูว่าเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมหรือไม่ โดยมีโทษจำคุก 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากเป็นแพทย์ และวิสัญญีแพทย์จริงจะต้องส่งให้แพทยสภาพิจารณาเรื่องจริยธรรมด้วย

ที่มา – เดลินิวส์