เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

กับการร่วงรอบรองชนะเลิศอย่างพลิกความคาดหมายของขุนพลนักเตะทีมชาติไทยในศึกเอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2018 ด้วยน้ำมือของ “เสือเหลือง” มาเลเซีย ที่บุกมาเสมอกับเรา 2–2 ผ่านเข้าไปชิงด้วยกฎอะเวย์โกล

ส่วนรอบไฟนัล “แข้งดาวทอง” ทีมชาติเวียดนาม จะผ่านฟิลิปปินส์ได้หรือเปล่านั้น ป่านฉะนี้พระเดชพระคุณท่านทั้งหลายก็คงทราบกันไปแล้ว

แต่ที่แน่ๆ กลับเป็นทัพช้างศึกนี่แหละที่ไม่ยอม “ไปตามนัด” มันซะเอง!

ที่น่าเห็นใจที่สุดคงจะเป็นกองเชียร์ไทยแลนด์ทั้งหลายที่อุตส่าห์หอบลูกจูงหลานเข้าไปให้กำลังใจกันจนเต็มความจุสนามราชมังคลาฯ กะว่าจะฉลองชัยรับ “วันพ่อแห่งชาติ” กันให้เต็มที่ซะหน่อย

ที่ไหนได้กลับต้องคอตกผิดหวังกลับบ้านใคร บ้านมันไปซะฉิบ

โดยเฉพาะเหล่าบรรดา “ช้างศึกเบอร์ 12” ที่เป็นแฟนพันธุ์แท้คอยตามติดเชียร์ทีมชาติไปทุกหนแห่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นมีพี่ “ไว เด่นชัย” ของผมรวมอยู่ด้วยถึงกับบ่นอุบ เพราะลงทุนจองทัวร์ไปลุยนัดชิงชนะเลิศล่วงหน้าเอาไว้แล้ว แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ต้องพังครืนลงในพริบตา

งานนี้ผมไม่โทษ “นักฟุตบอล” นะครับ เพราะน้องๆทุกคนได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว

ว่ากันจริงๆตามเนื้อผ้า เชื่อว่าแฟนบอลทุกคนก็คงเห็นถึงศักยภาพฝีเท้าของแข้งไทยชุดนี้ แล้วว่า ยังไงซะเราก็ยังเหนือกว่าใครในอาเซียนและน่าจะเข้าป้ายคว้าแชมป์ซูซูกิคัพได้อีกสมัยอย่างไม่ยากเย็น

แต่เพราะแท็กติกอันแสน “ห่วยแตก” ของกุนซือมิโลวาน ราเยวัช แท้ๆที่ทำงานง่ายให้เป็นงานยาก

แปลงสภาพบอลไทยให้กลายเป็น “รถบัสอาเซียน” อันแสนน่าเบื่อยังไม่พอ ยังไร้ไอเดียเรื่อง “เกมสวนกลับ” ที่มีประสิทธิภาพอีก

แทนที่จะเล่น “รับรอโต้” เอาไปเอามา กลับกลายเป็น “รับรอโดน” มันซะงั้น!

ผมไม่ได้อคติกับอีตาโค้ชชาวเซอร์เบียผู้นี้ แต่เริ่มเห็นแววการทำทีมที่ “ค้านความรู้สึก” ของแก มาตั้งแต่เกมที่เราอุ่นเครื่องแพ้ทีมชาติจีนคาบ้านเมื่อช่วงกลางปีแล้ว

เคยมีผู้รู้บอกผมว่าบอลสไตล์ “ลุงมิโล่” ที่บูชา “เกมรับ” เป็นพระเจ้า ไม่น่าเข้ากันได้กับบุคลิกทีมชาติไทยที่ผู้เล่นต่างคุ้นเคยกับสไตล์บอล “เกมรุก” ในสโมสรตัวเอง

ผมไม่แน่ใจว่าสมาคมกีฬาฟุตบอลฯได้ศึกษาโปรไฟล์เจ้าตัวมาอย่างละเอียดมากน้อยขนาดไหน หรือรู้แต่ว่ายุครุ่งเรืองเคยพากานาเข้า รอบ 8 ทีมสุดท้าย ฟุตบอลโลก 2010

แต่รู้ไหมว่าในช่วงหลังๆ แกโดนปลดจาก การเป็นเฮดโค้ชทีมชาติกาตาร์ เพราะทำบอล แพ้เวียดนาม แถมยังถูกเด้งพ้นทีมชาติแอลจีเรีย เพราะโดนแอนตี้จากผู้เล่นในทีมที่ไม่แฮปปี้กับกลยุทธ์การเล่น

เป็นอันว่าปี 2561 ได้กลายเป็นปีแห่งความ “ล้มเหลว” อย่างสิ้นเชิง ของทีมฟุตบอลชาติไทยในทุกระดับชั้น

ไม่ว่าจะเป็นทีม 23 ปีที่ยับเยินจากศึกชิงแชมป์เอเชีย ก่อนจะตกรอบแรกเอเชียนเกมส์แบบหมดสภาพ จนมาถึงทีมเยาวชนทั้ง 16 ปี, 19 ปีที่ชวดแชมป์อาเซียน และกระเด็นตกรอบในเกมระดับทวีปเรียบวุธ

ความหวังสุดท้ายที่แฟนบอลกะจะกู้ศักดิ์ศรี คืนในการป้องกันแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ เป็นของขวัญส่งท้ายปีซะหน่อย ก็มีอันต้อง “แห้ว” รับประทานมันเสียอีก (จนได้)