เกาะติดข่าวดาราก่อนใคร

กดติดตาม “ทีวีพูล”

banner

ศรีสุวรรณ เดินทางไปยัง สน.ทุ่งสองห้อง เพื่อแจ้งความเอาผิด อดีตอาจารย์ มือชกเพิ่มอีกคดี ฐานดูหมิ่น ระบุ เหตุผลทางคดีที่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะทำให้ศาลมีคำพิพากษา

 

 

วันที่ 16 พ.ค.2566 นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเย็นวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา ตนได้เดินทางไปยัง สน.ทุ่งสองห้อง เพื่อพบพนักงานสอบสวนเพื่อมอบหลักฐานประกอบคดีเพิ่มเติมให้กับ สารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ หลังจากที่ได้แจ้งความดำเนินคดีฐานทำร้ายร่างกายต่อชายสูงอายุอดีตอาจารย์ ม.เอกชน ที่เข้ามาทำร้ายร่างกายที่บริเวณหน้าสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อวันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมา หลังจาก กกต.เชิญไปให้ถ้อยคำกรณีร้องเรียนให้ตรวจสอบนโยบายหาเสียงแจกเงินดิจิทัลของพรรคเพื่อไทย

 

 

นายศรีสุวรรณ ระบุว่า ได้ยืนยันต่อพนักงานสอบสวน พร้อมมอบพยานหลักฐานเป็นใบรับรองแพทย์และคลิบวิดีโอที่ผู้ถูกกล่าวหาได้เจตนาพูดดูหมิ่นเหยียดหยามตนต่อบุคคลที่สามหรือธารกำนัล (ผู้สื่อข่าว, ประชาชน) โดยประการที่ทำให้ตนนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง และได้รับความอับอาย หลังจากที่ทำร้ายตนแล้ว ทั้ง ๆ ที่บริเวณดังกล่าวเป็นสาธารณสถาน อันเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.393 และ ม.397 วรรคสอง ประกอบ ม.59 ซึ่งมีอัตราโทษ จำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นายศรีสุวรรณ กล่าวต่อว่า แม้โทษทางอาญาจะมองดูไม่มากนัก แต่ทว่าเมื่อศาลมีคำวินิจฉัยหรือคำพิพากษาในคดีอาญาแล้ว จะส่งผลต่อคดีในทางแพ่งที่ตนได้เรียกค่าเสียหายไปพร้อมด้วยเลยในคดีเป็นจำนวนเงิน 1,000,000 บาท เนื่องจากการกระทำของผู้ถูกกล่าวหา เป็นการละเมิดกฎหมายในที่รโหฐาน เป็นสาธารณสถาน ไม่เกรงกลัวกฎหมายทั้งๆที่เคยเป็นถึงครูบาอาจารย์สอนคนมาก่อน

นายศรีสุวรรณ กล่าวอีกว่า รวมทั้งการกระทำดังกล่าวอาจมีผู้อยู่เบื้องหลังที่เป็นฝ่ายการเมืองที่ผู้ต้องหาได้ไปคลุกคลีร่วมกิจกรรมทางการเมือง และอาจนำมาซึ่งเจตนาพิเศษต่อการทำร้ายร่างกายตนได้ที่ไปร้องเรียนพรรคการเมืองที่บุคคลดังกล่าวมีปฏิสัมพันธ์ด้วย ซึ่งตนเป็นบุคคลที่เป็นที่รู้จักกันของสังคมไทย และทำงานเพื่อประโยชน์ของแผ่นดินมาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี

นายศรีสุวรรณ กล่าวด้วยว่า การที่ผู้ต้องหาคนดังกล่าวมาทำร้ายร่างกาย และดูหมิ่นเหยียดหยาม เป็นที่น่าอับอาจ จึงน่าจะเป็นเหตุผลทางคดีที่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะทำให้ศาลมีคำพิพากษาทั้งทางอาญาและทางแพ่งตามคำขอท้ายคำฟ้องที่ตำรวจและอัยการจะดำเนินการยื่นฟ้องต่อไป